ศาสนาเปรียบเทียบแห่งสากลโลก / พุทธทาสภิกขุ


บาทหลววงยอห์น อุลลินา แห่งโบสถ์เซนต์โยเซฟ บ้านโป่ง ราชบุรีร่วมกันอภิปรายกับพระวรศักดิ์ วรธมฺโม แห่งสวนโมกข์ และนายเสฐียร พันธรังษี (ขวาสุด)ในการประชุมศาสนสัมพันธ์ ที่สวนโมกข์ เมื่อวันมาฆบูชา ปี ๒๕๒๔โดยท่านพุทธทาสนั่งเป็นประธานอยู่ด้านหลังสวนโมกข์เคยเป็นสถานที่ ซึ่งใช้จัดกิจกรรมด้านศาสนสัมพันธ์อยู่บ่อยครั้ง

เปรียบเทียบพุทธศาสนา เพื่อประโยชน์แก่โลก.

ทุกศาสนามีส่วนดีเหมือนกัน.

ทุกศาสนาย่อมมีผลดีเฉพาะของเขา.

ในอนาคตอาจมีศาสนาเดียว.

ศึกษาให้รู้จักความจริงของธรรมชาติ.

ศึกษาศาสนาให้เข้ากันได้แล้วจะช่วยมนุษย์ได้.

ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย,

 

อาตมา ขอแสดงความยินดี ในการมาของท่านทั้งหลาย สู่สถานที่นี้ ในลักษณะอย่างนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็คือเพื่อจะฟังธรรม หรือศึกษาพระธรรม เพิ่มพูนยิ่ง ๆ ขึ้นไป. ท่านที่มาแต่ที่ไกล ได้รับความลำบาก ก็ขออนุโมทนา และขออภัย ถ้ามีความบกพร่องในการต้อนรับ อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งมันก็เป็นธรรมดา สำหรับวัดป่าพระเถื่อนอย่างนี้.

 

และมีความยินดีที่ว่า ได้มานั่งพูดจากันในลักษณะอย่างนี้ คือกลางดินใต้ต้นไม้; บางคนก็ทราบแล้วว่า มีความหมายอย่างไร แต่บางคนก็ยังไม่ทราบ ก็พูดกันได้ง่าย ๆ กันลืมว่า พระพุทธเจ้าประสูติก็กลางดิน, พระพุทธเจ้าตรัสรู้กลางดิน, พระพุทธเจ้าสอนกลางดิน, พระพุทธเจ้าอยู่กลางดิน, และพระพุทธเจ้านิพพานกลางดิน. ให้ดูที่แผ่นดินมีความหมายสำหรับพระพุทธเจ้าอย่างไร; เดี๋ยวนี้เราก็ได้มานั่งพูดกันกลางดิน ควรจะรู้สึกภาคภูมิใจ, แม้ศาสดาแห่งศาสนาอื่นก็เช่นเดียวกัน เข้าใจว่าคงจะมีลักษณะอย่างนี้บ้างไม่มากก็น้อย.

 

อีกอย่างหนึ่งก็ใต้ต้นไม้, ใต้ต้นไม้ เดี๋ยวนี้เรานั่งกันใต้ต้นไม้. พระพุทธเจ้าประสูติโคนต้นไม้, พระพุทธเจ้าตรัสรู้โคนต้นไม้, พระพุทธเจ้าสอนส่วนใหญ่โคนต้นไม้, ส่วนใหญ่ประทับอยู่โคนต้นไม้, และในที่สุดก็นิพพานโคนต้นไม้. อย่าเข้าใจว่า นิพพานที่โรงพยาบาล หรือบนศาลาบนกุฏิวิหารอะไร, นิพพานกลางดินโคนต้นไม้.

 

เดี๋ยวนี้เราก็ได้มานั่งกันโคนต้นไม้ เป็นการง่ายที่สุด ที่จะทำในใจเป็นพุทธานุสสติ ระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า ผู้ประสูติกลางดินโคนต้นไม่เป็นต้นดังที่กล่าวแล้ว. ขอให้ความรู้สึกอันนี้ติดใจท่านทั้งหลายไป เป็นเครื่องเตือนความทรงจำว่าเราได้มานั่งพูดกันในลักษณะอย่างนี้ ในสถานที่อย่างนี้ มีความหมายราวกับว่า ในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่สุด คือกลางดินโคนต้นไม้, กลางดินโคนต้นไม้ ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เพราะเป็นที่ประสูติ ตรัสรู้ สั่งสอน อยู่ และนิพพานของพระพุทธเจ้า.

 

บางคนอาจจะสงสัยว่าพูดแก้ตัว, พูดแก้ตัว ไม่มีที่นั่ง ที่อะไรให้เหมาะสมกันแล้วก็พูดกัน. เอาละ, ถ้าว่าจะแก้ตัวก็เป็นส่วนที่แก้ตัว; แต่จะขอร้องให้ทำความเข้าใจว่า ส่วนที่มันจะได้รับมากยิ่งไปกว่าการแก้ตัวนั้น มันมีอยู่มาก คือการที่เราจะได้มีจิตใจเหมาะสม ที่จะฟังหรือจะศึกษาพระธรรม.

 

เราเป็นอยู่ให้คล้ายธรรมชาติ ก็จะเข้าใจเรื่องของธรรมชาติได้โดยง่าย, เป็นเกลอกับธรรมชาติ ก็รู้เรื่องของธรรมชาติได้โดยง่าย. เรื่องของธรรมะโดยเฉพาะในพระพุทธศาสนานั้น ไม่มีเรื่องอะไรนอกไปจากเรื่องของธรรมชาติ, เรื่องตัวธรรมชาติ, เรื่องกฎของธรรมชาติ เรื่องหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ, และเรื่องผลที่จะได้รับจากหน้าที่นั้น; มันเป็นเรื่องของธรรมชาติถึงขนาดนี้ มานั่งอยู่เป็นเกลอกับธรรมชาติมันก็ง่ายและสะดวกที่จะเข้าใจเรื่องธรรมชาติ. ขอให้ตระเตรียมจิตใจของท่านทั้งหลายให้เป็นไปเข้ารูปกันในลักษณะอย่างนี้ด้วย.

 

ทีนี้โดยส่วนตัว ก็เกือบจะมาพูดไม่ได้ คือเป็นหวัด และต้องขออภัยที่จะต้องพูดเบา ๆ ถ้าพูดดังแล้วมันก็ไอขึ้นมาทันที, ถ้าพูดเบาก็พอจะพูดไปได้บ้าง ฉะนั้นก็จำเป็นที่จะต้องพูดเบา ๆ ขอให้ตั้งใจฟังเอาก็แล้วกัน มันเป็นหวัด. อาตมาพยายามอย่างยิ่ง ต่อต้านอย่างยิ่ง นี่เอากระป๋องลูกอมแก้หวัด ยาดมแก้หวัดมาขู่ไวรัส ไม่รู้มันจะกลัวหรือไม่กลัว, มันอาจจะพูดไม่จบก็ได้ แต่ไหน ๆ ก็ได้ตั้งใจจะพูด แล้วก็พยายามจะพูด.

เปรียบเทียบพุทธศาสนา เพื่อประโยชน์แก่โลก.

 

ทีนี้ เรื่องที่จะพูดในวันนี้คืนนี้นั้นก็คือ หัวข้อที่ว่า "ศาสนาเปรียบเทียบแห่งสากลโลก". ท่านจงทำในใจถึงศาสนาทุกศาสนาที่มีอยู่ในโลก ตั้งแต่แรกเริ่มเดิมทีมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ ปัจจุบันนี้ มันจะมีอยู่สักกี่ศาสนาก็สุดแท้, เราจะได้วินิจฉัยกันจะได้พิจารณากัน ด้วยการทำการเปรียบเทียบ.

 

การเปรียบเทียบนี้ มีได้ทั้ง ๒ อย่าง คือเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างกัน แล้วก็เกลียดชังกันก็ได้, อาตมาสังเกตเห็นว่า นักศึกษาศาสนาเปรียบเทียบนั้น Comparative study religion นี้ มันก็จะเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างกันจนเข้ากันไม่ได้ หรือว่าเกลียดน้ำหน้ากัน, เราจะเปรียบเทียบกันอย่างนี้ก็ได้. ทีนี้เปรียบเทียบอีกอย่างหนึ่ง ก็เปรียบเทียบให้เห็นความที่มันคล้ายกัน หรือมันเข้ากันได้ในที่สุดก็พอใจที่จะร่วมมือกัน, อย่างนี้ก็มี. นี่คือการเปรียบเทียบ มีอยู่เป็น ๒ อย่าง อย่างนี้.

 

เดี๋ยวนี้ เราจะเปรียบเทียบ ในลักษณะที่จะเป็นประโยชน์แก่มนุษย์คือ มองเห็นช่องทางที่เหมือนกัน และที่จะเข้ากันได้, แล้วก็ร่วมมือกันทุกฝ่าย ทำประโยชน์ให้แก่โลก คือช่วยมนุษย์ในโลก. ถ้าศาสนาทุกศาสนาร่วมมือกัน เพื่อทำประโยชน์ให้แก่โลก โลกจะดีกว่าอย่างที่มีอยู่ในปัจจุบัน, แล้วปัญหาเรื่องการกระทบกระทั่งระหว่างศาสนา ก็จะไม่มี. นี่เป็นสิ่งที่เราจะต้องระลึกนึกถึง ประจำใจอยู่เสมอว่า โลกมนุษยโลก มนุษยชาติ กำลังต้องการความช่วยเหลือ จากศาสนาทุกศาสนารวมกัน; แต่มนุษย์ไม่รู้ มนุษย์ไม่รู้เรื่องนี้ มันหลับตา ไม่รู้เรื่องนี้, ไม่ส่งเสริมเพื่อการกระทำอย่างนี้, แล้วบางทีก็กระทำเพื่อการแตกแยกกันเสียด้วย มันกลายเป็นเพิ่มวิกฤตการณ์ เพิ่มความเลวร้ายขึ้นมาในโลก. ถ้าในทางโลกก็แตกกัน ในทางศาสนาก็แตกกัน แล้วโลกนี้ก็เลวร้ายลงไปกว่านี้อีกมาก; ฉะนั้นจึงควรหาทางทำความเข้าใจ เป็นการป้องกัน.

 

อีกทีหนึ่งว่า จะขึ้นปีใหม่อยู่รอมร่อแล้ว เราควรจะทำอะไรให้ดีกว่าปีเก่า; ฉะนั้นเรามาทำความเข้าใจระหว่างศาสนานี้กัน ให้มากยิ่งขึ้นไปกว่าปีเก่า, ให้ศาสนามีบทบาทเพื่อสันติภาพของโลกยิ่งขึ้น เหมือนกับยิ่งขึ้นปีใหม่กี่ปี ๆ มันก็เป็นการเพิ่มความหวัง เพิ่มความปลอดภัย ในการได้รับสันติภาพสันติสุขในโลกนี้, นี้เราควรจะทำความเข้าใจกันในข้อนี้.

 

อีกอย่างหนึ่งพูดตรง ๆ ว่า เพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งระหว่างศาสนา และไม่เกิดการกระทบกระทั่งภายในสังคมเดียว ที่มีศาสนาต่างกัน; เช่น ประเทศไทย สังคมนี้ก็ถือศาสนาได้ตามชอบใจศาสนาไหนก็ได้ รัฐธรรมนูญอนุญาตให้อย่างนั้น. ดังนั้นแม้ประเทศไทย ประเทศเดียว จะถือศาสนาทุกศาสนาก็ได้; แต่แล้วจะทำอย่างไร จึงจะไม่เกิดการกระทบกระทั่งกันในระหว่างศาสนา. อาตมาเห็นว่ามีทางเดียวเท่านั้น คือการทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ด้วยการทำการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างศาสนา นี่คือความมุ่งหมายที่จะพูดเรื่องนี้.

 

ขอให้ทุกคนทุกท่านที่มีศาสนา ศาสนาใดก็ตาม ใครมีศาสนาแล้วก็ขอให้ตั้งใจฟังว่า เราจะทำความเข้าใจระหว่างศาสนากันได้อย่างไร จึงจะเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่สังคมของเรา. เรายังจะต้องมีปัญหาอย่างนี้กันไปอีก ทุก ๆ ประเทศก็ได้หรือทั่วโลกก็ได้, คือว่าในโลกนี้มันมีศาสนาหลายศาสนาอยู่ในโลก จะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร. ทีนี้จะดูส่วนน้อยที่สุด ส่วนเล็กที่สุดน่ะ ในครอบครัวหนึ่งมันมีต่างศาสนาก็ได้ คือมีการสมรสระหว่างศาสนา : ผัวถือศาสนาหนึ่ง เมียถือศาสนาหนึ่ง, แล้วจะอยู่กันได้อย่างไร ด้วยความสนิทสนมผาสุก สันติสุขร้อยเปอร์เซ็นต์ได้; มันก็ไม่มีอะไรดอก นอกจากการทำความเข้าใจระหว่างศาสนา.

 

ดังนั้นจึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่ว่าจะทำความเข้าใจ ด้วยการศึกษาเปรียบเทียบ ในลักษณะที่ให้มองเห็นความที่จะร่วมมือกันได้, ไม่ใช่ให้เห็นความแตกต่าง แล้วเกลียดชังกัน เหมือนที่เขาชอบกระทำกันโดยมาก ซึ่งอาตมาถือว่า นั่นเป็นการทำบาป, การเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างระหว่างศาสนา เพื่อเข้าหน้ากันไม่ได้ นั้นคือการทำบาปอย่างยิ่ง, ควรจะสังวรกันไว้.

บาทหลววงยอห์น อุลลินา
แห่งโบสถ์เซนต์โยเซฟ บ้านโป่ง ราชบุรี
รวมเวียนเทียนในวันมาฆบูชา ปี พ.

ทุกศาสนามีส่วนดีเหมือนกัน.

 

ทีนี้ก็จะได้พูดต่อไป ในข้อแรก ประเด็นแรก ก็คือจะพูดว่า คำพูดหรือคำถามที่จะถามว่า ศาสนาไหนดีกว่าศาสนาไหน ศาสนาไหนดีที่สุด; นี้ขอให้เข้าใจว่าเป็นคำถามที่บ้าบอที่สุด. คำถามที่บ้าบอที่สุด ก็คือคำถามที่ถามว่า ศาสนาไหนดีกว่าศาสนาไหน.

 

ถ้าเรามองเห็นส่วนลึก แก่นแท้ของศาสนาแล้ว จะไม่เกิดคำถามอย่างนี้; เพราะว่าศาสนาหนึ่ง ๆ ก็ดีไปอย่างหนึ่ง เหมาะสำหรับคนพวกหนึ่ง ยุคสมัยหนึ่งในถิ่นที่แห่งหนึ่ง, มันเป็นอย่างนี้, แล้วมาถามว่าศาสนาไหนดีกว่าศาสนาไหน มันก็เป็นการหลับตาถาม เป็นคำถามที่บ้าบอที่สุด เช่นเดียวกับจะถามว่า กินขนมปังอย่างฝรั่งดี? หรือว่ากินข้าวอย่างคนไทยกินดี? กินขนมปังกับการกินข้าวนี้ ไหนมันดีกว่ากัน หรือถูกกว่ากัน? นี่คำถามนี้บ้าบอที่สุดเลย.

 

ท่านทั้งหลายก็คงจะทราบได้ว่า มันเป็นคำถามที่บ้าบอที่สุดเท่าไร ที่จะถามว่า กินขนมปังดีหรือกินข้าวดี? สำหรับคนที่กินขนมปัง มันก็ดี มันก็ถูก มันก็มีเหตุผล มันก็เป็นปรกติสุขไปแล้ว. คนที่กินข้าวมันก็มีความถูกต้อง มีปรกติสุขไปแล้ว; มาถามว่า อันไหนดีกว่ากันนี่ มันตอบไม่ได้ดอก. ถ้าถามฝ่ายหนึ่ง มันก็ต้องตอบอย่างหนึ่ง; คนที่ถามนั้นเขาไม่รู้ เขาเป็นคนกินอะไร, ถ้าตัวเองกินข้าว มันก็ต้องตอบว่ากินข้าวดี; ฉะนั้นเป็นคำถามที่บ้าบอ ถ้าจะถามว่ากินขนมปังดีหรือกินข้าวดี.

 

ทีนี้แคบเข้ามา ในหมู่พวกที่กินข้าว ภาคเหนือภาคอีสานกินข้าวเหนียว ภาคใต้กินข้าวจ้าว ภาคกลางกินข้าวจ้าว แล้วเกิดถามว่า กินข้าวเหนียวดีกว่ากินข้าวจ้าว? หรือกินข้าวจ้าวดีกว่ากินข้าวเหนียว? มันก็เป็นคำถามที่บ้าบอที่สุดอยู่นั่นเอง. อาตมาเคยไปลองกินข้าวเหนียวมาแล้ว มันกินไม่ได้, มันกินไม่ค่อยจะได้ มันฝืน ฝืนมากเกินไป; นี่เพราะว่าเรามันกินข้าวจ้าว; แล้วพวกที่กินข้าวเหนียวก็มากินข้าวจ้าว แล้วก็บ่นว่า ว่าไม่เต็มท้องไม่อิ่มท้อง ไม่มีกำลังวังชาอะไรอย่างนี้เป็นต้น.

 

ฉะนั้นจึงเลิกคำถามอย่างนี้ ให้มันมีความถูกต้องของภูมิหลังเบื้องหลังเกิดมาอย่างไร เกิดมาในถิ่นไหน ในยุคไหน ในสมัยไหน มีเลือดเนื้อที่สร้างขึ้นมาในลักษณะอย่างไร, แล้วอย่างนั้นมันก็ถูกต้อง; ฉะนั้นจงมี หรือกินก็ได้. ถ้ามีก็มีศาสนา, ถ้ากินก็กินข้าว ให้มันถูกต้องกับเรื่องของตนเอง; ภูมิหลังของตนเป็นอย่างไร, มีวัฒนธรรมอย่างไร, มันเกิดในถิ่นไหน, ในบ้านเมืองที่มีดินฟ้าอากาศอย่างไร; มันมีอีกหลายอย่างหลายปัญหา ที่มันจะทำให้มองเห็นได้ ว่าจะกินเนยดี หรือกินน้ำกระทิดี เพื่อผลอย่างเดียวกัน มันก็ตัดสินไม่ได้ดอก, มันเป็นเรื่องของความเคยชินมากกว่า ที่เรียกว่ารสนิยมหรืออะไรก็แล้วแต่.

 

ฉะนั้นเราจะไม่มีการถามกันว่า ศาสนาไหนดีกว่าศาสนาไหน; เพราะศาสนาหนึ่งย่อมดีสำหรับคนพวกหนึ่งโดยสมบูรณ์; ฉะนั้นเขาก็รับเอาศาสนานั้นเป็นศาสนาประจำ สืบทอดกันมา จนกลายเป็นศาสนาประจำวงศ์ตระกูล หรือศาสนาประจำชาติก็แล้วแต่. ถ้ามองดูถึงความเหมาะสม ที่จะได้รับจากศาสนาแล้ว มันก็ดีด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีคำว่าดีกว่า แล้วก็จะไม่มีคำว่าดีที่สุดด้วย.

 

อาตมากล้าพูดว่า ไม่มีศาสนาไหนดีที่สุด; เช่น พุทธศาสนา อย่างนี้ใช้กับคนโง่ไม่ได้, พุทธศาสนาจะดีที่สุดไปได้อย่างไร เพราะมันใช้กับคนทุกคนไม่ได้. ศาสนาที่นิยมปัญญา รุ่งเรืองอยู่ด้วยปัญญา มันใช้ไม่ได้สำหรับคนโง่; นี่คือข้อที่ว่ามันไม่ดีที่สุดไปได้, ถ้าดีที่สุดจริง มันก็ต้องใช้ได้กับคนทุกคน ทุกพวกทุกชนิดจริง; ฉะนั้นเราจึงไม่อาจจะพูดว่า มีศาสนาไหนดีที่สุด, แล้วก็จะไม่พูดว่า ศาสนาไหนดีกว่าศาสนาไหน เพราะว่ามันจะเหมาะสำหรับผู้ที่ถือศาสนานั้น ๆ ตามภูมิหลังของตนที่มีอยู่. ฉะนั้นเราจะเลิกพูด คือเลิกถามชนิดนี้.

ทุกศาสนาย่อมมีผลดีเฉพาะของเขา.

 

ทีนี้ก็จะมาดูในแง่ดีว่า แต่ละศาสนาก็มีส่วนดี มีแง่ดี ส่วนที่เป็นประโยชน์แก่ศาสนิกของศาสนานั้นเต็มที่ เป็นศาสนา ๆ ไปทุก ๆ ศาสนา.

 

นี่ เดี๋ยวนี้มาพิจารณากันถึงคำว่า "ศาสนา", ศาสนานี้ก่อน. คำว่าศาสนา ศาสนานี้ ไม่ได้หมายถึงลัทธิสำหรับเชื่อ, เพียงแต่เป็นลัทธิสำหรับเชื่อนั้น ยังไม่เรียกว่าศาสนา ต้องเป็นระบบของการปฏิบัติ ปฏิบัติอยู่ ปฏิบัติลงไปแล้ว เป็นระบบ ๆ ถูกต้องตามระบบแล้ว, นี่จึงจะเป็นตัวศาสนา. ถ้ายังเป็นแต่เพียงลัทธิของความเชื่อมันยังเป็นของลม ๆ แล้ง ๆ มันยังไม่เป็นตัวศาสนา; มันต้องมีการปฏิบัติ เมื่อมีการปฏิบัติลงไปแล้ว มันก็จะมีผลของการปฏิบัติ คือจะเกิดผลขึ้นมาตามสมควร ดังนั้นจึงดับความทุกข์ หรือแก้ปัญหาได้ อย่างใดอย่างหนึ่งเสมอไป.

 

หัวใจของทุกศาสนามันจึงอยู่ที่ความดับทุกข์ ปฏิบัติแล้วดับทุกข์ได้, จะเป็นแต่เพียงความรู้เฉย ๆ ยังไม่พอ. เอาละ, หลักวิชาความรู้มันก็มี เพื่อจะปฏิบัติได้ถูกต้อง; ปฏิบัติอย่างเดียวมันยังไม่พอ ต้องได้รับผลของการปฏิบัติด้วย แล้วผลของการปฏิบัตินั้นก็คือการดับทุกข์ได้, มันก็เลยมีค่าอยู่ที่ความดับทุกข์ ซึ่งมีด้วยกันทุกศาสนา.

 

ศาสนานี้ดับทุกข์ ของคนในเอเซียได้, ศาสนานี้ดับทุกข์ของคนในยุโรปได้, ในอาฟริกาได้, ในที่ไหนได้ ส่วนที่มันดับทุกข์ได้นี้ มันเหมือนกัน; สำหรับความทุกข์มันไม่มีต่างชาติต่างศาสนาดอก ตัวความทุกข์มันทุกข์เหมือนกันหมดเลย, แล้วก็มันดับทุกข์ได้ แล้วมันก็มีค่าเท่ากัน. คำอธิบายเรื่องจะดับทุกข์อย่างไร นั้นมันเป็นส่วนพิเศษประจำศาสนา; แต่ว่าสำคัญอยู่ที่การปฏิบัติ, ครั้นปฏิบัติแล้วดับทุกข์ได้ ความดับทุกข์ได้นี้ คือค่าอันแท้จริง ซึ่งมีอยู่ในทุกศาสนา. ถ้าศาสนาไหนไม่มีส่วนที่ดับทุกข์ได้ละก็ ขีดฆ่าออกไปได้เลย, ขีดชื่ออกไปได้เลย จากบัญชีของศาสนา; ถ้ามันยังมีอยู่ มันต้องดับทุกข์ได้ ในชนิดใดชนิดหนึ่ง หรือระดับใดระดับหนึ่งก็ตามเถอะ.

 

เพราะว่าคนในโลกมันมีหลายชนิดนัก หลายระดับนัก มันจึงต้องมีหลายศาสนา เพื่อพอเหมาะพอดีกันกับคนเหล่านั้น; ฉะนั้นศาสนาทุกศาสนา จึงมีส่วนดีตรงที่ดับทุกข์ได้ ด้วยการปฏิบัติถูกต้อง จนดับทุกข์ได้; แม้จะมีรูปร่างของการปฏิบัติต่างกันบ้างก็ไม่เป็นไร, ไม่เป็นไรเหมือนกับกินข้าวเหนียวเข้าไป มันก็บำรุงร่างกายได้ กินข้าวจ้าวมันก็บำรุงร่างกายได้, กินขนมปังมันก็บำรุงร่างกายได้ ไม่เป็นไร, ขอแต่ให้ดับทุกข์ได้. ดังนั้นจึงมองดูที่ส่วนลึกส่วนหัวใจ ที่เป็นจุดกลาง ใจกลาง เป็นนิวเคลียสของทุกศาสนา ว่ามันดับทุกข์ได้; ดังนั้น ทุกศาสนาจึงเหมือนกันในส่วนนี้.

 

เปรียบเทียบข้อนี้ ก็จะเปรียบเทียบได้กับว่า น้ำ, น้ำของเหลว ของเหลวที่เรียกกันว่าน้ำ มันมีมากชนิดเหลือเกิน มากชนิดนับไม่ไหว : น้ำฝน น้ำประปา น้ำบ่อ น้ำคลอง น้ำท่า น้ำในนา น้ำในคู น้ำในหนอง กระทั่งน้ำสกปรกใต้ถูนบ้าน มันเป็นน้ำเหมือนกัน, กระทั่งว่า น้ำผึ้ง น้ำตาล น้ำส้ม น้ำปลา น้ำอะไรก็สุดแท้ ที่มันเหลวเป็นน้ำแล้วก็เรียกว่าน้ำ, จะเป็นเหม็นหรือหอม เปรี้ยวหรือขม หรืออะไรก็สุดแท้. แต่ถ้ามีสติปัญญาก็จะรู้ว่า ในน้ำทุกชนิดมีน้ำบริสุทธิ์; ในน้ำโคลนก็แยกเอาน้ำบริสุท ธิ์เป็นน้ำกลั่นออกมาได้ เป็นน้ำคลองก็ได้ น้ำฝนก็ได้ แม้แต่ในน้ำส้ม ในน้ำตาล ในน้ำอุจจาระ ก็อาจจะแยกเอาน้ำบริสุทธิ์ออกมาได้.

 

น้ำบริสุทธิ์ H2O นั้นแหละเอาออกมาได้ จากทุกน้ำ จากทุกน้ำ : น้ำเหงื่อ น้ำไคล น้ำปัสสาวะ น้ำอุจจาระ มันก็มีน้ำที่บริสุทธิ์อยู่ในนั้น แยกออกมาได้. แต่นี้คนเรามันก็เกลียด เกลียดน้ำเหม็น น้ำสกปรก จนถึงกับว่า มันเข้ากันไม่ได้ โดยที่ไม่รู้ ว่าน้ำเลือดน้ำหนองของตนนั้น มันก็มีน้ำที่บริสุทธิ์อยู่ในนั้น ; น้ำทั้งหลายมีหัวใจเป็นน้ำบริสุทธิ์อยู่ด้วยกันทั้งนั้น มันแล้วแต่ใครจะรู้จักแยกออกมา หรือไม่รู้จักแยกออกมา. ราจงมองให้เห็นว่า น้ำทั้งหลายมีน้ำบริสุทธิ์ อยู่เป็นแกนกลาง อยู่ข้างในทั้งนั้น, อย่าไปดูถูกหมิ่นมันเลย.

 

ฉะนั้น ศาสนากี่สิบศาสนาก็ตาม มันมีส่วนที่ดับทุกข์ได้ ตามมากตามน้อยอยู่ทั้งนั้น. ตั้งแต่มีโลกมา มีมนุษย์มานี้ มันมีศาสนาตั้งต้นมาหลายรูปแบบเปลี่ยนแปลงมาตามลำดับ, เปลี่ยนแปลงมาตามลำดับ; ถ้าจะนับกันจริง ๆ แล้ว ต้องหลายสิบศาสนาแหละ. ในแต่ละศาสนานั้น เคยดับทุกข์ของประชาชนที่นั่นมาแล้วทั้งนั้น ไม่มากก็น้อย, หมายความว่ามันเคยดับทุกข์มาแล้วทั้งนั้น. ฉะนั้นส่วนที่มันดับทุกข์ได้นี่ มันก็เป็นส่วนหัวใจของศาสนา เราจึงถือว่า ทุกศาสนามีหัวใจเหมือนกัน คือดับทุกข์ได้ เหมือนกับในของเหลวทุกชนิด มีน้ำบริสุทธิ์อยู่ในนั้นทั้งนั้น, แล้วจะไปรังเกียจรังงอนให้มัน...พูดหยาบคายอีกแล้ว, จะไปรังเกียจกันให้มันโง่ทำไม. การรังเกียจกันระหว่างศาสนามันจึงเป็นเรื่องโง่เขลาที่สุด ที่มันไม่ควรจะมีในหมู่มนุษย์ เพราะว่าในแต่ละศาสนา มีคุณค่าที่ดับทุกข์ได้อย่างนี้ทั้งนั้น.

 

ดังนั้นเราจึงพบว่าในทุกศาสนามีค่า ดับทุกข์ได้อย่างเดียวกัน เลยไม่ต้องเปรียบเทียบ เห็นไหม? น่าหัวไหม? เมื่อมันดับทุกข์ได้โดยเสมอกัน อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว มันก็เป็นศาสนาแล้ว ก็ไม่ต้องเปรียบเทียบก็ได้, มีแต่จะเลือก ๆ เลือก ๆ ให้เหมาะสมแก่ปัญหาของตน ให้เหมาะสมแก่ความทุกข์ของตน, แล้วก็เอาไปใช้ดับทุกข์ได้ก็พอ; ฉะนั้นเราจึงไม่มีการกระทบกระทั่งระหว่างศาสนา.

 

นี่คือการเปรียบเทียบ ชนิดที่ให้มันเข้ากันได้, ให้มันเป็นมิตรกันได้ ให้มันร่วมมือกันได้ แก้ไขปัญหาในโลกได้, ไม่ใช่มาเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างแล้วก็เกลียดชังกัน; นั้นมันไม่ใช่เรื่องศาสนาแล้ว, ถ้าอย่างนั้นเป็นเรื่องของภูติผีปีศาจไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องของพระศาสนาแล้ว. ถ้าเป็นเรื่องของพระศาสนา มันก็ต้องทำชนิดที่ให้มนุษย์ได้รับประโยชน์ โดยร่วมมือกันได้.

 

เดี๋ยวนี้เรามองเห็นหัวใจของศาสนาแต่ละศาสนา ดับทุกข์ได้ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง, อย่างนี้มันเหมือนกันเสียแล้วไม่ต้องเปรียบเทียบโดยขนาด มันไม่มีความหมายดอก; เพราะความทุกข์ของคนโง่เอาศาสนาของคนฉลาดมาดับไม่ได้, ความทุกข์ของคนฉลาด ก็เอาศาสนาของคนโง่มาดับไม่ได้, มันต้องมีถูกฝาถูกตัวกันไปทั้งนั้น มันก็เลยมีค่าเหมือนกัน ในข้อที่ว่า มันดับทุกข์ได้.

 

นี่เราจะมองกันในแง่นี้ ว่าทำให้มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ของตน ๆ มีแต่ความสงบสุข มีแต่การทำให้ความเป็นมนุษย์นี้เป็นประโยชน์ อยู่ร่วมกันอย่างมีประโยชน์. ทุกคนไม่มีความทุกข์ แล้วทุกคนกำลังผลิตประโยชน์ออกไปรอบตัว ให้เพื่อนมนุษย์กันพลอยได้รับ; นี่คือความสมบูรณ์ของศาสนา แม้อยู่ในระดับต่ำ มันก็มีความหมายเต็มที่ของการดับทุกข์, จะอยู่ในระดับสูงเท่าไร มันก็มีความหมายเต็มที่ของการดับทุกข์, เอาที่ไม่มีความทุกข์กันนั้นแหละเป็นเครื่องวัด.

นี่เรียกว่า เราจะเปรียบเทียบดูว่า แต่ละศาสนานั้นมีส่วนดี; ไม่ใช่เพียงแต่พูดว่า มีสอนให้คนทำดี เหมือนที่เขาชอบพูดกันมาก. อาตมาพูดว่า พูดอย่างนั้นมันเป็นเด็กอมมือเกินไป, เช่นพูดว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนแต่สอนให้คนทำดี แล้วก็เหมือนกัน อย่างนี้ก็ได้, ถูกที่สุดแหละ แต่มันถูกอย่างลูกเด็กอมมือ. มันจะต้องพูดว่า ทุกศาสนามันดับทุกข์ได้, ดับทุกข์ของมนุษย์ มนุษย์มีกี่ร้อยชนิด มันก็มีศาสนาหลายร้อยชนิด เหมาะสมถูกฝาถูกตัว, ดับทุกข์ของมนุษย์แต่ละชนิดได้ เราจึงพอใจ.

ในอนาคตอาจมีศาสนาเดียว.

10

เอ้า, ทีนี้ก็ดูต่อไปในอนาคต ในอนาคตนี่ โลกมันอยู่ใต้อำนาจวิสัยของวิชาความรู้ทางวิทยาศาสตร์, ที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ ที่กำลังก้าวหน้า ก้าวหน้า ก้าวหน้าอยู่ในโลก แล้วโลกก็ยอมรับวิทยาศาสตร์ ยอมรับนับถือวิทยาศาสตร์ยิ่ง ๆ ขึ้นไป; โลกมันเปลี่ยนพื้นฐาน เปลี่ยนอุปนิสัย เปลี่ยนอะไรไปในทางที่จะยึดวิทยาศาสตร์เป็นหลัก. ดังนั้นในอนาคต มันจะเหลืออยู่แต่ศาสนาเดียว คือศาสนาวิทยาศาสตร์ ไม่ต้องเรียกว่าพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู ซิกส์ อะไรแล้ว ไม่ต้องเรียกแล้ว, มันจะเรียกว่าศาสนาวิทยาศาสตร์ คือ ศาสนาที่กล่าวถึง ความจริงอันเด็ดขาดของธรรมชาติ เรียกว่าศาสนาของความจริง. ความจริงของอะไร? ของธรรมชาติ ของธรรมชาติที่ศึกษาได้ เกี่ยวข้องได้ด้วยวิทยาศาสตร์ ด้วยวิถีทางวิทยาศาสตร์.

 

ในอนาคต เมื่อมนุษย์เข้าถึงระดับสูงสุดของวิทยาศาสตร์ ศาสนามันก็จะเหลืออยู่แต่ศาสนาวิทยาศาสตร์ ที่เข้ากันได้กับวิทยาศาสตร์. ที่ไอน์สไตน์เคยพูดไว้ว่าจะเหลืออยู่ศาสนาเดียว ที่สามารถจะ cope, can cope natural need. ศาสนาที่จะสามารถตอบคำถาม หรือสู้หน้าได้กับความต้องการของวิทยาศาสตร์ตามธรรมชาติ ศาสนานี้จะเหลืออยู่ จะเรียกว่าศาสนาอะไรก็ตามใจ เพราะมนุษย์เป็นลูกน้องของวิทยาศาสตร์ไปหมดแล้ว. เมื่อมนุษย์เป็นลูกน้องของวิทยาศาสตร์ไปหมดแล้ว มันก็เป็นศาสนาวิทยาศาสตร์; แต่อย่าลืมว่า หัวใจของทุก ๆ ศาสนาแต่ละศาสนานั้น เข้าไปอยู่ที่นั่นคือมันดับทุกข์ได้; มันจะดับทุกข์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ก็ตามใจเถอะ มันก็ต้องตรงกับหลักของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ที่เป็นมาแล้วแต่ในอดีต, จะด้วยเชื่อพระเจ้าหรือว่าจะด้วยเชื่อการกระทำของตัวเอง ก็แล้วแต่.

 

เดี๋ยวนี้เขาแบ่งเป็นเหลือ ๒ ศาสนาแล้วในโลกนี้ ๒ ศาสนาแล้ว, เหลือเพียง ๒ ศาสนาแล้วในโลกนี้ คือพวก creationist เชื่อพระเจ้า พระเจ้าสร้าง, เชื่อพระเจ้า นี้เป็น creationist มีกี่ศาสนาก็ไปนับดูเอาเอง. นี้ศาสนาอีกพวกหนึ่งเป็น evolutionist เชื่อวิวัฒนาการตามธรรมชาติ มีอยู่กี่ศาสนาก็ลองไปนับดูเอาเอง, เท่าที่มันเห็นชัด ๆ อยู่ พุทธศาสนาอยู่ในพวก evolutionist คือถือความเป็นไปตามกฎของธรรมชาติตามเหตุตามปัจจัยของธรรมชาติ.

 

พุทธศาสนาที่แท้จริงไม่ได้สอนว่า สุขหรือทุกข์นี้เป็นไปตามกรรม, ความสุขความทุกข์ของมนุษย์ไม่ได้เป็นไปตามกรรม; แต่พุทธบริษัทส่วนมากยังโง่อยู่ ว่าสุขทุกข์เป็นไปตามกรรม. แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า สุขทุกข์ไม่ใช่เป็นผลของกรรมเก่า แต่เป็นผลของอิทัปปัจจยตา นี่มันทำผิดหรือมันทำถูกที่นี่เดี๋ยวนี้, นี่คือวิทยาศาสตร์ละ เป็น evolutionist ไม่ต้องมีพระเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง; แล้วก็ว่าสุขทุกข์นี้ ไม่ใช่เป็นเพราะว่าพระเจ้าบันดาล, ที่พุทธศาสนาเป็นอย่างนี้. ความสุขความทุกข์ของมนุษย์ไม่ใช่พระเจ้าหรือสิ่งสูงสุดบันดาล และไม่ใช่ผลของกรรมเก่า แต่เป็นผลของอิทัปปัจจยตา ที่ทำลงไปผิดหรือทำลงไปถูก; เพราะว่าถ้ามันจะเกิดความทุกข์ร้อนเจียนตายขึ้นมา, แต่ถ้าปฏิบัติถูกตามกฎอิทัปปัจจยตาแล้ว มันไม่เป็นทุกข์เลย. ขอให้เข้าใจส่วนนี้ แม้จะเจ็บไข้ได้ป่วยเจียนตาย เป็นทุกข์เจียนตายอยู่แล้ว ถ้าดำรงจิตให้ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตาแล้ว มันก็ไม่เป็นทุกข์เลย; ฉะนั้นจึงยกเลิกกรรมเก่าหรือยกเลิกอำนาจของพระเจ้า ของเทพเจ้า ของภูติผีปีศาจ ของอะไรออกไปหมดสิ้น. นี่พุทธศาสนามีลักษณะเป็น evolutionist อย่างนี้ ไม่มีลักษณะเป็น creationist.

 

เดี๋ยวนี้ ศาสนาในโลกเหลืออยู่เพียง ๒ ศาสนาแล้ว ศาสนาหนึ่งเป็น creationist มีพระเจ้าผู้สร้าง ก็ทำไปตามแบบนั้น, ศาสนาหนึ่งเป็น evolutionist เป็นไปตามกฎของวิวัฒนาการ เหตุปัจจัย ก็ทำไปตามแบบนั้น.

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ควรจะเอามาเปรียบเทียบว่า ศาสนาไหนดีกว่ากัน. อย่าให้มันโง่ไปอีก, มันจะเป็นคำถามที่โง่เง่าที่สุด ที่จะถามว่าศาสนาไหนดีกว่ากัน; เพราะว่าสำหรับคนบางพวก มันก็ต้องใช้แบบของตน แบบอื่นใช้ไม่ได้. พวกที่มีพื้นแพ นิสัย สันดาน วัฒนธรรม จิตใจ มาตามแบบที่เหมาะสมกับศาสนา creationist ก็ต้องถือศาสนานั้น, ส่วนพวกที่ไม่เป็นอย่างนั้น เป็นไปตามแบบของธรรมชาติ ก็ต้องถือศาสนา evolutionist เป็นธรรมดา. แต่ว่าทั้ง ๒ ศาสนาจะเอามาเปรียบเทียบกันอย่างไร มันก็ยังเสมอกัน หรือได้ผลด้วยกัน คือว่าดับทุกข์ได้ตามแบบของตน ๆ.

 

ถ้ามันเหลือ ๒ ศาสนา มันก็ยังไม่มีทางที่จะมาพูดว่าอันไหนดีกว่าอันไหน อันไหนดีที่สุด อยู่นั่นเอง; เพราะประชาชนหรือสัตว์ทั่วไปนี้ มีปัญหาตามแบบของตน ๆ ตามลักษณะนิสัยจิตใจของตน, แล้วยังเป็นไปตามการศึกษา หรือวัฒนธรรมหรือประเพณีอะไรอีกมาก ซึ่งฝังแน่นอยู่ในสันดาน. เขาก็ต้องได้ศาสนาที่เหมาะสม เขาจึงจะดับทุกข์ของเขาได้ ก็ยังดีไปตามแบบนั้น; ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น มันก็ต้องมาแบบอิทัปปัจจยตา คือว่าไปตามเหตุปัจจัย กฎของธรรมชาติอย่างไร ปฏิบัติให้ถูกต้องแล้วก็ดับทุกข์ได้. เพราะฉะนั้นพวกที่กินขนมปังก็กินไปซิ, พวกกินข้าวก็กินไปซิ, มันจะมามีปัญหาอะไร ที่จะถามว่า อันไหนจะดีกว่ากัน หรืออันไหนจะดีที่สุด.

 

แต่ทีนี้ถ้ามันมาถึงชั้นวิทยาศาสตร์ ขออภัยที่จะพูดว่า ในอนาคตข้างหน้าอันนานไกลนั้น ถ้าคนในโลกมันเป็นสมาชิกของวิทยาศาสตร์ไปหมดแล้ว น่ากลัวว่าจะเหลืออยู่แต่ศาสนาเดียว คือศาสนาวิทยาศาสตร์. ทุกศาสนาเอามาใส่ครก หลอมตำ ๆ ตำเคล้าเป็นอันเดียวกัน เหลือเป็นศาสนาวิทยาศาสตร์, นั่นแหละจะอยู่เป็นศาสนาเดียว แล้วไม่ต้องเปรียบเทียบกันแล้วทีนี้ มันมีเป็นศาสนาเดียวแล้ว จะเปรียบเทียบกับใครได้อย่างไร, มันก็ไม่ต้องเปรียบเทียบ การเปรียบเทียบทางศาสนามีไม่ได้อีกต่อไปแล้วเพราะมันเหลือศาสนาเดียวเสียแล้ว.

 

นี่ศาสนาเปรียบเทียบแห่งสากลโลก สากลจักรวาล มันมีเค้าเงื่อนอย่างนี้มีเค้าโครงอย่างนี้ มีปัญหาอย่างนี้. เรามาพูดกันเหมือนกับพูดถึงอนาคต อนาคตนี้ไม่แค่ไหน ไม่เท่าไรก็กลายเป็นอดีตแหละ อีกไม่กี่พันปี, อีกไม่กี่หมื่นปี อนาคตนั้นก็กลายเป็นอดีต แล้วมันก็เป็นเรื่องธรรมดาไปอีก เพราะว่าอนาคตมันก็กำลังกลายเป็นอดีตอยู่เรื่อยไป. พรุ่งนี้มันก็จะมากลายเป็นวานนี้ของวันนี้อยู่ได้เรื่อยไป ๆ ๆ; เพราะฉะนั้นอนาคตมันจึงอยู่ใกล้ ๆ ใกล้นี้เอง, สักวันหนึ่งมันก็จะถึงยุคหนึ่ง ซึ่งอะไร ๆ มันก็ต้องเหมาะสมสำหรับยุคนั้น. นี่อาตมาจึงคิดว่า และเชื่อว่าด้วย มันจะมีเหลืออยู่ศาสนาเดียวในยุคหนึ่ง คือศาสนาวิทยาศาสตร์ ที่มนุษย์ทุกคนในโลก เป็นสมาชิกของวิทยาศาสตร์ไปหมด. แต่ถ้ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นมาอีก นอกจากวิทยาศาสตร์นั้นก็ค่อยพูดกัน; แต่เค้าเงื่อนที่มันเห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ มันมองเห็นอยู่ว่า วิทยาศาสตร์ ความรู้ เหตุผล เหตุปัจจัย ตามกฎวิวัฒนาการนี้ มันจะครองโลก. เราเปรียบเทียบกันไว้ล่วงหน้า เปรียบเทียบกันว่า เพื่อจะให้ร่วมมือกันได้.

 

ถ้าเราจะถือเป็นศาสนา ศาสนานั่น ศาสนานี่ ก็ให้รู้ไว้เถิดว่า เราจะมีปัญหาอย่างเดียวกัน ปัญหาร่วมกัน คือจะต้องต่อสู้กับศาสนาวิทยาศาสตร์ อันจะมีมาในอนาคต. ศาสนาไหนก็ตามที่มีอยู่ในโลกเวลานี้ จะต้องเผชิญปัญหาในอนาคตคือต่อสู้กันกับศาสนาวิทยาศาสตร์; ถ้าศาสนาไหนเป็นวิทยาศาสตร์อยู่แล้วก็ดีไป, แต่ศาสนาที่มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์นั้นจะเป็นอยู่ได้ง่าย เป็นไปได้ง่าย, หรือเคลื่อนไหวได้ง่าย.

 

ทีนี้เปรียบเทียบอย่างนี้แล้วก็ จะทำให้เกิดความรู้สึกขึ้นมาอย่างหนึ่งว่า ต่อไปนี้ก็เตรียมตัว สำหรับจะมีความรู้เรื่องของธรรมชาติ, รู้เรื่องกฎของธรรมชาติ, รู้เรื่องหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ, รู้หน้าที่ผลของธรรมชาติ. แล้วผู้ที่เคยเรียกว่าพระเจ้า ก็จะต้องเปลี่ยนพระเจ้าเป็นธรรมชาติ ที่เคยเรียกว่าธรรมชาติ ก็จะต้องเปลี่ยนธรรมชาติเป็นพระเจ้า คือเป็นสิ่งสูงสุด แล้วแต่จะใช้ชื่อไหน แล้วแต่จะชอบชื่อไหน. คำว่าพระเจ้าหมายถึงสิ่งสูงสุดก็แล้วกัน, สิ่งสูงสุดนั้นคืออะไร ก็ไปว่ากันข้างหน้า, แล้วการถือศาสนานี้มันแล้วแต่คนในโลก. ถ้าคนในโลกถือศาสนาอะไร ศาสนานั้นมันก็อยู่ ถ้าคนในโลกไม่ถือศาสนาอะไร ศาสนานั้นมันก็ดับไป มันก็มีเท่านี้.

ศึกษาให้รู้จักความจริงของธรรมชาติ.

 

วิทยาศาสตร์ในที่นี้หมายถึงความจริงของธรรมชาติ, ตามธรรมชาติ, ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ. เดี๋ยวนี้ก็อยากจะพูดถึงเค้าเงื่อนของธรรมชาติ ว่าเราพิจารณาดูแล้วเห็นเรื่องทุกเรื่องเป็นเรื่องของธรรมชาติ, ในหลักของพุทธศาสนาจะเรียกว่าธรรมชาติเสมอกันหมด ไม่มีอะไรมากไปกว่าธรรมชาติ. การศึกษาใหม่ ๆ การศึกษาฝรั่งก็ดี ที่มีคำว่า super natural เหนือธรรมชาติ หรือผิดธรรมชาตินั้นน่ะ เป็นคำพูดที่ไม่มีในพุทธศาสนา, ในพุทธศาสนาไม่มีคำว่า เหนือธรรมชาติหรือผิดจากธรรมชาติ

 

มันจะเป็นธรรมชาติไปหมด. นี่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในโลก ยังไม่ทันพุทธศาสนา เพราะว่าคำวิทยาศาสตร์ที่ใช้กันอยู่ในโลก มันยังมีคำว่า super natural คือเหนือธรรมชาติ; แต่หลักพุทธศาสนาไม่มีอะไรที่จะเหนือธรรมชาติ หรือผิดจากธรรมชาติ เป็นธรรมชาติไปหมด.

 

รู้จักธรรมชาติที่มีอยู่ตามธรรมชาติ, รู้จักตัวของธรรมชาติ จะเป็นร่างกายก็ได้ เป็นจิตใจก็ได้ เป็นความรู้สึกคิดนึก เป็นการกระทำอะไรก็ได้ มันเป็นธรรมชาติ, แล้วมันก็มีกฎของธรรมชาติ บังคับให้เป็นไป, แล้วมันก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำตามกฎนั้น ๆ, แล้วก็ได้รับผลจากการกระทำนั้น ๆ.

 

เช่น คนคนหนึ่งมีเนื้อหนัง ร่างกาย กระดูก โลหิต อะไรต่าง ๆ ทั้งหมดนี้คือ ธรรมชาติ จะเรียกว่าประกอบอยู่ด้วยธาตุ ๔ ก็ได้, หรือจะประกอบอยู่ด้วยธาตุอะไรก็แล้วแต่จะเรียกด้วยวิชาอะไร; แต่ว่ามันเป็นธรรมชาติ มีมาตามธรรมชาติ สืบต่อกันมาตามธรรมชาติ เป็นตัวธรรมชาติ.

 

ทีนี้ในตัวธรรมชาติ ในตัวธรรมชาตินี้ มันมีกฎของธรรมชาติบังคับอยู่ มันจึงเปลี่ยนแปลง; เช่นเนื้อหนังของเรา เจริญเติบโตได้ เป็นผู้ใหญ่ได้ เป็นของขับถ่ายออกได้ เป็นของเกิดใหม่ได้ เป็นของสะสมไว้ได้ นี่กฎของธรรมชาติทำให้เป็นอย่างนี้ ในตัวเรามีทั้งธรรมชาติ เป็นทั้งธรรมชาติ และมีกฎของธรรมชาติ.

 

แล้วเราก็มีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติ นับตั้งแต่ว่าเราต้องกินอาหารต้องถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ ต้องบริหารร่างกายให้ถูกต้อง มันจึงจะไม่ตายมันอยู่ได้; ถ้ามันมีความทุกข์เกิดมาจากอะไร ก็ต้องบริหารให้ถูกต้อง, ความทุกข์เกิดมาจากกิเลสตัวไหนข้อไหน ก็ต้องละกิเลสตัวนั้นข้อนั้น แล้วก็ไม่มีความทุกข์;

 

นี้ก็กฎของธรรมชาติ. กิเลสเกิดขึ้นมา เพราะความไม่รู้ความโง่ของมนุษย์นั้นเอง, ความโง่ของมนุษย์นั้นเอง ปรุงให้เกิดสิ่งที่เรียกว่ากิเลส แล้วสิ่งที่เรียกว่ากิเลสก็บังคับให้ทำไปผิด ๆ แล้วก็เดือดร้อนเป็นทุกข์ ทั้งตัวเองและผู้อื่น. ถ้าศึกษาเรื่องนี้ดี รู้อย่างเพียงพอแล้ว กิเลสเกิดไม่ได้ คือโง่ไม่ได้นั่นเอง. เมื่อโง่ไม่ได้มันก็ไม่มีกิเลสเกิด มันก็ไม่มีทำอะไรผิด, แล้วมันก็ไม่มีปัญหา มันไม่มีความทุกข์.

 

เมื่อเราทำหน้าที่ตามธรรมชาติถูกต้องแล้ว ก็ได้รับผลเป็นที่พอใจ คือไม่ต้องเป็นทุกข์. มนุษย์เป็นอย่างนี้ มนุษย์เป็นอย่างนี้, แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็เป็นอย่างนี้, แม้แต่สุนัขตัวหนึ่งนี้, ทั้งหมดนั้นมันก็เป็นธรรมชาติ มันเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ทุกอณูทุกปรมาณู ที่ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายของมัน มันเลยมีหน้าที่ตามแบบของมัน : จะต้องกินอาหาร จะต้องถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ, จะต้องบริหารอย่างนั้นอย่างนี้ตามกฎของธรรมชาติ มันรอดชีวิตอยู่ได้ มันได้รับผลจากการปฏิบัติถูกต้องตามหน้าที่ของธรรมชาติ.

 

ต้นไม้ต้นไล่นี้ก็เหมือนกัน มันมีตัวธรรมชาติ ที่ประกอบกันขึ้นเป็นต้นไม้, จะเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุอะไรก็แล้วแต่จะเรียกตามภาษาอะไร วิชาแขนงไหน. ต้นไม้แต่ละต้นทั้งต้นนี้มันเป็นธรรมชาติ, แล้วมัน มีกฎของธรรมชาติบังคับอยู่ ทุก ๆ ปรมาณู มันต้องเปลี่ยนไปทุก ๆ ปรมาณู ตามกฎของธรรมชาติ. ดังนั้นต้นไม้จึงมีหน้าที่ ที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ; เช่นว่ามันจะต้องดูดน้ำขึ้นไป ดูดแร่ธาตุขึ้นไป เมื่อมีแสงแดด มันก็ปรุงให้เป็นอาหารทางใบส่งกลับมาเลี้ยงลำต้นงอกงาม แล้วมันก็รอดอยู่ได้ เพราะมันปฏิบัติถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ.

 

ฉะนั้นเราจึงพูดว่า สิ่งที่มีชีวิตในระดับมนุษย์ก็ดี ในระดับสัตว์เดรัจฉานก็ดี ในระดับต้นไม้ต้นไล่ก็ดี อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์อันนี้, เพราะมันเป็นตัวธรรมชาติ, ได้, แล้วมันถูกควบคุมอยู่ด้วยกฎของธรรมชาติทุก ๆ ปรมาณู. นี่จะเรียกว่าเป็นสิ่งสูงสุด กฎของธรรมชาติเป็นสิ่งสูงสุด เข้าไปควบคุมอยู่ในทุก ๆ ปรมาณู ที่ประกอบกันขึ้นเป็นโลก; แม้แต่ในกองอุจจาระกฎของธรรมชาติก็เข้าไปควบคุมกองอุจจาระ ให้เปลี่ยนแปลงกลายเป็นอย่างอื่นไปได้, กลายเป็นอาหารของหนอน กลายเป็นอาหารของแมลงอะไรไปได้. นี่เรียกว่าไปควบคุมอยู่ทุก ๆ ปรมาณู ที่ประกอบกันขึ้นเป็นโลก, นี้เราเรียกว่ากฎของธรรมชาติ ใครจะเรียกว่าพระเจ้า หรือใครจะเรียกอะไรก็สุดแท้ ไม่มีใครห้าม. แต่สำหรับพุทธบริษัทก็เรียกว่า กฎของธรรมชาติ ควบคุมสิงสถิตอยู่ในทุก ๆ ปรมาณู ของสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นสากลจักรวาล, สากลจักรวาลจะมีกี่ปรมาณู กี่อะตอม จะมีกฎของธรรมชาติเข้าไปควบคุมอยู่ทุก ๆ ปรมาณู แล้วมันก็เป็นไปตามกฎนั้น.

 

ฉะนั้นสิ่งใดจะมีชีวิตรอด สิ่งนั้นต้องประพฤติให้ถูกต้องตามกฎอันนั้น คือให้ถูกต้อง; อย่างกฎวิทยาศาสตร์ที่ว่า The fittest the survival, the fittest the survival - สิ่งใดเหมาะสมสิ่งนั้นจะรอดอยู่. นี่มันจะต้องมีการประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง ตามกฎของธรรมชาติ ที่ควบคุมอยู่ในทุก ๆ ปรมาณู ของสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นจักรวาลนี้. แม้แต่ก้อนหินนี่ ไม่มีชีวิตนี้ มันก็ยังเป็นธรรมชาติ มีกฎของธรรมชาติควบคุมอยู่ทุกปรมาณู ให้ทุก ๆ ปรมาณูของก้อนหินนี้เปลี่ยนไปตามกฎเกณฑ์อันนั้น, และในที่สุดมันจะเป็นอย่างอื่น หรือมันจะเป็นอย่างไรก็สุดแท้ เพราะมันจะเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ.

 

นี้คือความเป็นวิทยาศาสตร์ ตามหลักแห่งพุทธศาสนา ซึ่งอาตมาได้กล่าวแล้วว่า พุทธศาสนานี้เป็นศาสนาประเภท evolutionist ไม่มีเค้าเงื่อนแห่ง creationist เหลืออยู่เลย; แต่การที่คนจะถือไขว้เขวกันนั้น มันห้ามไม่ได้มันแล้วแต่คน. แต่ถ้าถือหลักพุทธศาสนาโดยตรง โดยถูกต้องแล้วมันจะมีลักษณะเป็น evolutionist เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ตามกฎของอิทัปปัจจยตา, แล้วก็สามารถที่จะใช้กฎเกณฑ์อันนี้ทำอะไรได้

 

สร้างนั่นสร้างนี่ขึ้นมาได้ โดยถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ, สามารถที่จะสร้างอะไรขึ้นมาได้ สามารถที่จะเลิกร้างอะไรก็ได้ เพราะทำถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ.

 

ขอให้เรามองดูส่วนลึกที่สุด ของสิ่งที่เรียกว่าความจริง ๆ, ความจริงของธรรมชาติ ซึ่งจะเป็นพื้นฐานของวิชาวิทยาศาสตร์ สำหรับจะค้นคว้า สำหรับจะรู้ สำหรับจะบัญญัติแต่งตั้งกฎเกณฑ์อะไรต่าง ๆ; เป็นสิ่งที่ว่าเป็นใจกลาง เป็นแกนกลางของสากลจักรวาล สากลจักรวาล ของ cosmos, มันยิ่งกว่า ยิ่งกว่าทุกโลกอีกของสากลจักรวาล ทุก ๆ จักรวาลรวมกันเป็นนี่, ไม่ใช่เพียงแต่ระหว่างชาตินะ มันระหว่างจักรวาล ประกอบอยู่ด้วยกฎเกณฑ์อันนี้, แล้วจะอยู่เป็นใจกลาง สำหรับที่ใครจะศึกษาให้รู้ แล้วก็ปฏิบัติ แล้วก็ได้รับผลตามที่ตนต้องการ; จึงถือโอกาสว่า พูดในวันที่ว่ามันจะขึ้นปีใหม่ ขอให้ความรู้ของเราก้าวหน้า ๆ ก้าวหน้า ไปตามคำว่า ปีใหม่ ๆ ปีใหม่เรื่อย ๆ ไป, แล้วมันจะถึงความสมบูรณ์เข้าสักวันหนึ่ง ถูกต้องตามความจริงทั้งหมดทั้งสิ้น, แล้วมนุษย์ก็จะหมดปัญหา. มนุษย์ก็จะถือความจริงข้อเดียวกัน, ความจริงสิ่งเดียวกันแล้วก็จะรักใครกัน เป็นมนุษย์คนเดียวกันทั้งสากลจักรวาล.

 

เดี๋ยวนี้ยังเป็นไปไม่ได้ แม้แต่ในประเทศไทยนิดเดียวก็ยังรักกันไม่ได้; เว้นไว้แต่เมื่อไรเราจะเข้าถึงความจริงอันสูงสุดของสากลจักรวาล, แล้วทุกคนจะยอมปฏิบัติ เป็นสมาชิกของสากลจักรวาลเดียว, จะรักใคร่กัน จะเลิกเบียดเบียนกัน เลิกรบราฆ่าฟันกัน เลิกแย่งชิงกัน เลิกเอาเปรียบกัน อย่างที่กำลังกระทำอยู่บัดนี้; เพราะมันมีตัวกู มีของกู เกิดมาจากความโง่ของตน เห็นแก่ตน มีความเห็นแก่ตน.

 

เดี๋ยวนี้เพียงแต่ทุก ๆ ศาสนา ช่วยกันทำลายความเห็นแก่ตนของมนุษย์ให้หมดไป ก็นับว่าประเสริฐที่สุดแล้ว แล้วก็เป็นหน้าที่ด้วย. ไปศึกษาดูให้ดี โดยประวัติความเป็นมาของแต่ละศาสนา ดูจะตั้งต้นขึ้นมาจากปัญหาที่เกิดมาจากความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ทั้งนั้น คือมนุษย์ไม่รักกัน แล้วก็เดือดร้อนกันไปหมด, หรือว่าเห็นแก่ตัวยึดถือตัวก็กลัวตาย อย่างนี้เป็นต้น มันก็เดือดร้อนเป็นทุกข์ส่วนตัว. นี่เห็นแก่ตัว เบียดเบียนผู้อื่น มันก็เป็นความทุกข์ส่วนสังคม, ความทุกข์ส่วนตัวหรือความทุกข์ส่วนสังคม มันเกิดมาแต่ความเห็นแก่ตัว; เป็นหน้าที่ของแต่ละศาสนา จะต้องช่วยกันกำจัด, แล้วศาสนาก็อย่ามาเห็นแก่ตัวเสียเอง จนเกิดการขัดแย้ง กระทบกระทั่ง ทะเลาะวิวาทระหว่างศาสนาเลย.

 

 
ซิสเตอร์ ถ่ายรูปร่วมกับอุบาสิก

ศึกษาศาสนาให้เข้ากันได้แล้วจะช่วยมนุษย์ได้.

 

อาตมาเห็นว่า การศึกษาศาสนาเปรียบเทียบ ในลักษณะที่จะให้เข้ากันได้อย่างนี้ ในลักษณะที่จะรวมกันเหลือแต่เพียงศาสนาเดียวนี้ จะช่วยมนุษย์ได้ จึงขอถือโอกาสนำมาพูด ในลักษณะคล้าย ๆ กับว่า เป็นของขวัญวันปีใหม่ ที่จะมาถึงในวันมะรืนนี้แล้ว จะได้ช่วยกันเข้าใจไว้ ช่วยกันสืบต่อออกไปสืบต่อออกไป ให้มันมีสิ่งสูงสุดหรือความจริงอันสูงสุดนี้ มาช่วยโลก มาควบคุมโลก มาช่วยโลก ให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎของความจริง. นี่มี ธรรมะ ๔ ความหมายเป็นบทเรียน คือเรียนรู้เรื่องธรรมชาติ เรียนรู้เรื่องกฎของธรรมชาติ เรียนรู้เรื่องหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ แล้วก็เรียนรู้เรื่องผลอันเกิดจากหน้าที่นั้น ก็จะเป็นความจริงของสากลจักรวาล, ปฏิบัติเข้าถึงความจริงข้อนี้แล้ว จะประเสริฐที่สุด คือดับทุกข์ได้.

 

เมื่อดับทุกข์ได้ก็ต้องเรียกว่า เป็นทุกศาสนา ด้วยการปฏิบัติให้ดับทุกข์ได้นี่เราจะเป็นสมาชิกของทุกศาสนา มันจะมีกี่สิบศาสนาในโลก. เดี๋ยวนี้มาถือกันแต่ปาก : เป็นพุทธ เป็นคริสต์ เป็นอิสลาม เป็นฮินดู เป็นซิกส์ นี้มันว่าแต่ปาก, แล้วก็ไม่ได้เป็นด้วยซ้ำไป, เป็นเพียงศาสนาเดียวก็ยังไม่ได้ เพราะมันเป็นแต่ปาก. ถ้าปฏิบัติจริง ปฏิบัติจริง มันดับทุกข์ได้, ปฏิบัติความจริงจนดับทุกข์ได้ คนคนเดียวนั้นน่ะ จะถือหมดทุกศาสนา, มันจะมีกี่สิบศาสนาก็ตามใจ เราคนเดียวสามารถถือได้ทุกศาสนา มีศาสนาทุกศาสนาในคน ๆ เดียว.

นี่ดูอย่างนี้เถอะมันดีหรือไม่ดี จะมีกี่ศาสนาก็ลองว่ามาดู ถ้าปฏิบัติความดีเพื่อดับทุกข์ได้ แล้วก็เป็นทุกศาสนาแหละ, ผู้ทำความดีอยู่นั่นแหละ เป็นผู้ถือศาสนาทุกศาสนา โดยไม่ต้องเรียกชื่อ โดยต้องขึ้นทะเบียน โดยไม่ต้องไปจดบัญชี. เขาปฏิบัติอย่างถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ดับทุกข์ได้โดยถูกต้องอยู่นี่; นั่นแหละคือเขาถือทุกศาสนา, เขามีศาสนาจริง ๆ ทุกศาสนา, เป็นศาสนาจริงที่มาอยู่ในตัวบุคคลเดียวทุกศาสนา เลยไม่ต้องเปรียบเทียบ เห็นไหมไม่ต้องเปรียบเทียบ. คนเดียวสามารถเป็นศาสนิกได้ของทุก ๆ ศาสนาในโลก; ใครจะเอาหรือไม่เอานั้นมันอีกเรื่องหนึ่ง เดี๋ยวนี้คนเดียวเป็นศาสนาเดียวก็ยังไม่ได้นี่ เพราะถือแต่ปากนี่, คนคนเดียวถือศาสนาเดียวยังไม่ได้ เพราะมันถือแต่ปาก, มันพูดแต่ปากนี่ มันดับทุกข์ไม่ได้. คนเดียวแท้ ๆ ยังถือศาสนาเดียวก็ยังไม่ได้.

 

เดี๋ยวนี้ คนเดียวเป็นได้ทุกศาสนา, เป็นผู้มีศาสนาทุกศาสนา เพราะปฏิบัติถูกต้องตามความจริงของธรรมชาติแล้วดับทุกข์ได้ ตามความมุ่งหมายของสิ่งสูงสุด, ซึ่งจะเรียกว่ากฎของธรรมชาติ หรือจะเรียกว่าพระเป็นเจ้า หรือจะเรียกว่าไกวัลย์หรือจะเรียกอะไรก็แล้วแต่จะเรียกเถอะ, มันมีชื่อมาก ๆ น่ะ สิ่งสูงสุดนี่, มีสิ่งสูงสุดที่แท้จริง ไม่สักแต่ว่าชื่อสมมติ ก็จะใช้อำนาจของสิ่งสูงสุดนั้น ดับทุกข์ได้จริง แล้วคนนั้นจะมีศาสนาทุกศาสนาอยู่ในตัวเขา. นี่ไม่ต้องเปรียบเทียบ เรื่องก็จบ, เพราะไม่อาจจะเปรียบเทียบต่อไปแล้วเรื่องมันจบ. คนคนเดียวปฏิบัติชนิดที่เรียกว่ามีศาสนาทุกศาสนาอยู่ในตัวเขา แล้วเรื่องมันก็จบ.

 

นี่อาตมาเรียกว่า ศาสนาเปรียบเทียบแห่งสากลโลก หรือสากลจักรวาล. สากลโลกนี้แคบนิดเดียวนะ สากลจักรวาลนั้นคือทุกโลก ทุกกลุ่มแห่งโลก; เรามีศาสนาแห่งสากลจักรวาล ครอบงำได้ทุกศาสนาที่ดับทุกข์ได้, ศาสนาที่ดับทุกข์ได้; ถ้าดับทุกข์ไม่ได้ไม่ใช่ศาสนา. ถ้าเป็นศาสนาต้องดับทุกข์ได้; ฉะนั้นเราก็มีทางที่จะช่วยกัน แก้ปัญหาของมนุษย์ในโลกที่กำลังไม่มีสันติภาพ เพราะมีแต่ความเอาเปรียบกัน ไม่รักกัน, ไม่รักกัน เอาเปรียบกันคอยช่วงชิง คอยกอบโกย, มีเครื่องมือเป็นการเมืองบ้าง เป็นการทหารบ้าง เป็นการอะไรบ้าง สำหรับจะแย่งชิงประโยชน์ของกันและกัน, แล้วก็ถูกลงโทษ; ถูกลงโทษโดยกฎของธรรมชาติ, ถูกลงโทษโดยกฎของธรรมชาติ ให้มันเป็นโลกที่เต็มไปด้วยวิกฤตการณ์เลวร้าย ไม่มีความดีความงามเป็นผาสุกเลย. ศาสนาทั้งหลายก็เป็นหมัน; ถ้าในโลกนี้มันยังมีแต่วิกฤตการณ์อันเลวร้ายก็ต้องพูดว่า ศาสนายังเป็นหมันอยู่, ทุก ๆ ศาสนายังเป็นหมันอยู่.

 

ขอให้ทุกศาสนาลุกขึ้นมาจัดการ ให้วิกฤตการณ์อันเลวร้ายในโลกนี้หมดไป แล้วก็จะเรียกว่าศาสนานั้นยังอยู่ และข้อนี้จะต้องสำเร็จได้ด้วยการร่วมมือ; เพราะว่าศาสนาเดียวทำไม่ได้ เพราะคนในโลกมันมีหลายสิบชนิด ชนิดหนึ่งมันต้องการศาสนาชนิดหนึ่ง, ชนิดหนึ่งมันต้องการศาสนาชนิดหนึ่ง. ดังนั้น ศาสนาทุกโลก ลุกขึ้นมาร่วมมือกัน กำจัดความเลวร้ายในโลก ทำให้โลกนี้มีสันติภาพ. ทุกศาสนามีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ คือดับทุกข์ได้ อยู่ด้วยกันทุกศาสนา, เช่นเดียวกับในน้ำหรือของเหลวทุกชนิด มีน้ำบริสุทธิ์อยู่ทั้งนั้น เอาน้ำชนิดไหนมาก็ตามเถอะ เราเอามากลั่นเอามาแยกออกเป็นน้ำบริสุทธิ์ได้ทั้งนั้น. นี่คือข้อที่ว่าทุกศาสนา จะอยู่ในชื่ออะไรอย่างไร ก็มีส่วนหนึ่งซึ่งจะเอามาใช้ดับทุกข์ได้, แล้วเอาส่วนนี้มาเทรวมกันเข้าด้วยกัน หลอมเข้าด้วยกันร่วมมือกันดับทุกข์ในโลก.

 

นี้คือ การเปรียบเทียบศาสนา เพื่อเห็นความเข้ากันได้, ความร่วมมือกันได้, แล้วสามารถขจัดวิกฤตการณ์อันเลวร้ายในโลกได้; ไม่ใช่เปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างระหว่างศาสนา แล้วเกลียดชังกัน เหมือนที่กระทำกันอยู่โดยมาก. ต้องขอพูดอย่างนี้ ว่าเหมือนที่กระทำกันอยู่โดยมาก; เพราะว่าศึกษาศาสนาเพื่อการเปรียบเทียบแล้วเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างกัน, เปรียบเทียบให้เห็นความดีกว่ากัน ความเลวกว่ากัน มันโง่, มันโง่ เหมือนกับที่จะถามว่า กินขนมปังดีกว่ากินข้าว หรือว่า กินข้าวดีกว่ากินขนมปัง.

 

หวังว่าเราคงจะได้ต้อนรับปีใหม่กัน ด้วยการเข้าใจในสิ่งที่จะช่วยเราให้รอดยิ่ง ๆ ขึ้นไปกว่าทุกปี, แล้วพรุ่งนี้ก็จะพูดเรื่องปีใหม่ชีวิตใหม่ ให้ละเอียดยิ่งขึ้นไปอีก, ในวันนี้ก็ขอให้เตรียมตัวว่า จะเข้าถึงเครื่องมือ ที่จะช่วยโลกให้มีสันติภาพ ให้มากกว่าปีเก่า ก็เรียกว่า เราไม่บกพร่องในหน้าที่, เราไม่บกพร่องในหน้าที่ของมนุษย์.

 

นี่ อาตมาก็แพ้ พ่ายแพ้แก่ไวรัสแล้ว เจ็บคอแล้ว พูดไม่ไหวแล้ว ต้องขอโอกาสยุติการพูดในวันนี้.

 

ขอแสดงความยินดีอีกครั้งหนึ่ง ในการมาของท่านทั้งหลาย มาจากที่ไกล, มาจากที่ไกล มาทนความลำบากบางอย่างบางประการ เพื่อจะศึกษาสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ. ธรรมะใน ๔ ความหมาย : คือตัวธรรมชาติ, คือตัวกฎของธรรมชาติ, ตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ, ตัวผลที่จะได้รับจากหน้าที่, แล้วนำติดตัวไปศึกษาปฏิบัติให้เกิดเป็นศาสนาขึ้นมา คือมีระเบียบการปฏิบัติเป็นตัวศาสนาขึ้นมา. อย่ามีความรู้หรือความเชื่ออย่างเดียว มันไม่พอ, ต้องมีการปฏิบัติให้เกิดผลขึ้นมา.

 

หวังว่าคงจะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นบ้างตามควร ในการที่จะปรับปรุงชีวิตใหม่ ชีวิตปีใหม่นี้ให้ก้าวหน้ากว่าปีเก่า ด้วยกันทุก ๆ คน แล้วมีความสุขอยู่ทุกทิพาราตรี.

อาตมาขอยุติการบรรยาย.

จาก ใจความแห่งคริสตธรรมเท่าที่พุทธบริษัทควรทราบ
ธรรมโฆษณ์เล่มที่ ๔๔.ก. ภาคผนวก หน้า ๓๐๕-๓๒๙
บรรยายเมื่อ ๓๐ ธ.ค. ๒๕๒๗