วิศิษฐ์ วังวิญญู แปล
คัดจากเรื่อง Contemplation and Resistance
ในนิตยสาร ชื่อ Win
ข้างล่างนี้เป็นบันทึกคำสนทนาที่ปารีส ๔ มกราคม ๒๕๑๖ ระหว่างติช นัท ฮันห์ กับแดน เบอริแกน คนหนึ่งเป็นอาจารย์เซ็น อีกคนหนึ่งเป็นบาทหลวงคาทอลิค อันเป็นที่รู้จักกันดีในการเผารายชื่อผู้เข้ารับการเกณฑ์ทหาร และเป็นผู้ไม่ยอมรายงานตัวต่อการจำคุกตรงตามหมายกำหนด
ในเวลานั้น พอดีกับสหรัฐอเมริกากำลังฉลองคริสต์มาส อยู่ด้วยการทิ้งระเบิดคุกคามชาวเวียดนาม การหยุดยิงที่มีความหวังว่าจะคงไว้หลายเดือน กลับแตกกระจุยดุจเดียวกับโรงพยาบาลบาชมายในฮานอย แดนมาถึงปารีสได้ไม่ถึงสองอาทิตย์ดี หลังจากที่น้องชายของเขาได้รับการปลดปล่อยออกจากคุก และหลังจากการไปเป็นประจักษ์พยานต่อการก่อสงครามครั้งใหม่ ที่บันไดของโบสถ์นักบุญแฟททริกคาทีคัล ในนิวยอร์ค (คาร์ดินาล ไม่อยู่ไปเยี่ยมกองทัพทหาร)
ด้วยการเป็นกวี อันมีความผูกพันอยู่กับอหิงสาธรรม ท่านทั้งสองจึงได้รู้จักกันมาเป็นเวลานานพอสมควร แต่การจะได้มาอยู่ใกล้ชิดกัน ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน พูดคุยกันและหุงหาอาหารด้วยกัน ในเวลาวิกฤตเช่นนี้ ย่อมเป็นเวลาอันจะอำนวยให้เกิดความเข้าใจและความใกล้ชิดกันเป็นพิเศษ และคิดว่าการใช้เครื่องบันทึกเสียงคงจะไม่ทำลายบรรยากาศอันมีสุขุมรสเช่นนี้ไปเสีย
ในบทสนทนานี้ มีหลายตอนที่ขาดหายไป ไม่ใช่ถ้อยคำ หากเป็นความสงบเงียบระหว่างเขาทั้งสอง ระหว่างการเอ่ยนำของแดน กับการตอบรับของนัทฮันห์ครั้งแรกเป็นความเงียบได้ ๑๐ นาที ความเงียบสนิท จนกระทั่งได้ยินเสียงแผ่ว ๆ ของเครื่องบันทึกเสียงได้ และความเงียบในส่วนอื่น ๆ ของการสนทนา ทำให้ท่านทั้งสองเป็น เควกเกอร์ หรือ แทปฟิสต์ หรือผู้อยู่ในสายของการไม่ยึดติดนิกายใดได้อย่างสมภาคภูมิ
.... .... .... .... ....
แดน เบอริแกน : เรานั่งอยู่นี้ ด้วยอาการเอาจริงเอาจัง ด้วยความวิเวกแห่งจิตอย่างยิ่ง นึกถึงเพื่อนของเราทั่วโลก และลังเลอยู่ว่าถ้าเราจะพูดถึงความหมายของขบวนการอหิงสา อันประกอบด้วยรากฐานบางอย่าง ประเพณี อำนาจที่มีขอบเขต โดยเฉพาะการค้นหาขบวนการที่ไม่เป็นไปเพื่อการเมือง และไม่โน้มเอียงไปสู่ความรุนแรงนั้นจะเป็นการดีหรือไม่ เราได้เห็นขบวนการที่ผิดพลาดในลักษณะเช่นนี้มามากแล้ว แต่ในหลาย ๆ ด้าน มรดกแห่งอดีตของคริสต์และพุทธ ก็สามารถเข้ากันได้ เช่นในเรื่องความเมตตากรุณา การรู้จักอกเขาอกเรา และความรู้สึกต่อกาลเวลาที่แตกต่างออกไป คือความรู้สึกต่อเวลาที่ยาวนานกว่าและลึกกว่าเมื่อเราอยู่ในคุก ผมเชื่อว่าเรามีความรู้สึกต่อเวลาแตกต่างออกไปด้วย บางทีอาจจะเข้าใกล้สัจจะมากขึ้น
นัท ฮันห์ : เรามักจะจินตนาการว่า ช่วงชีวิตของมนุษย์ก็คือเส้นตรงที่ลากขึ้นบนแผ่นกระดาษจากซ้ายไปขวา บุคคลเกิดขึ้นมาในโลก ใช้ชีวิตอยู่แล้วก็ตายไป เราเลยคิดว่าชีวิตของบุคคลคนหนึ่งก็เหมือนกับเส้นที่ลากไว้บนแผ่นกระดาษตามขวาง แต่ผมคิดว่าการสมมติเช่นนั้นไม่ถูกต้อง ชีวิตไม่สามารถกำหนดให้เป็นเหมือนเส้นที่เราลาก เพราะการมีชีวิตอยู่ไม่ไปในทิศทางเดียว คือจากซ้ายมือมาขวามือ หากไปในทิศทางอื่น ๆ ด้วย ดังนั้นภาพวาดชีวิตด้วยการใช้เส้นตรงที่ลากตามขวางนั้นจึงไม่ถูกต้อง มันไปทุกทาง ไม่ใช่ ๔, ๘ หรือ ๑๖ ทางเท่านั้น แต่มันมีทิศทางไปมากมาย ด้วยเหตุนี้ ถ้าเราได้เห็นแจ้งแทงตลอดในสัจจะอันนั้น ความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับเรื่องเวลาก็จะเปลี่ยนไป สิ่งนี้นี่เองเวลาคุณนั่งสมาธิ คุณจะไม่รู้สึกว่าได้เดินทางไปกับกาลเวลา หากอยู่ในนิรันดร เราไม่ถูกขัดขวางด้วยความตาย หรือด้วยความเปลี่ยนแปลง ความรู้สึกที่ได้มีชีวิตอยู่ในสภาวะจิตใจเช่นนั้น ถือเป็นโอกาสที่ดียิ่งในการทำตนให้บริสุทธิ์สะอาด ไม่เพียงแต่จะมีผลต่อสภาวะการเป็นอยู่ของเราเท่านั้น หากยังมีผลไปถึงการกระทำ และการไม่กระทำของเราด้วย
แดน : ผมคิดว่าส่วนหนึ่งของความยุ่งยาก ก็คือการตัดสินที่จะกระทำการที่ถูกต้องในเวลาที่ถูกต้อง (หรือเวลาสำหรับการไม่กระทำ) แต่สำหรับคนโดยทั่วไปแล้ว คำถามนี้มักจะไม่มีการได้ถามกัน จะถามกันก็แต่เฉพาะเรื่องการเมืองเท่านั้น และผมคิดว่าความยุ่งยากส่วนใหญ่ของชีวิตอยู่กับคำถามที่ว่า เราจะมีชีวิตอยู่ไปทำไม ทำไมเราจึงยอมรับการมีชีวิตอยู่ ทำไมไม่ตัดขาดออกจากชีวิต…ทำไมชีวิตถึงมีค่า และเมื่อมีการถามคำถามเช่นนี้ โดยที่ความเข้าใจต่อคุณค่าของชีวิตก็ยังไม่ไกลไปกว่าการถกเถียงกันด้วยถ้อยคำ ผมคิดว่า การกระทำที่ถูกต้องก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เหมือนกับคนคนหนึ่งที่อาจจะพูดขึ้นว่า เมื่อเราตั้งคำถามต่อทุกสิ่งทุกอย่าง คำถามว่าเราจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไรในวันหนึ่ง ๆ ก็เลยกลายเป็นเรื่องที่ทำให้ทุกข์ทรมาน เลยกลายเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ เมื่อไม่สามารถจัดการอะไรได้กับคำถามนี้ เราก็พยายามหนีมัน หลังจากนั้นก็บอกว่าคำถามเหล่านั้น "วุ่นวายมากเกินไป" เลยไม่ยอมค้นหาวิธีการจัดการกับคำถามเหล่านั้นอีกเลย วันหนึ่ง ๆ ด้วยสุราเมรัย ยาเสพติด หรือความสิ้นหวังหรือสิ่งที่เขายึดจับได้อื่น ๆ อันรวมศาสนาเข้าไว้ด้วย เขาก็เลยเลิกค้นหามาตรฐานแห่งการดำรงอยู่ ซึ่งจะช่วยให้การต่อสู้เป็นไปได้ในระยะเวลาที่ยาวนานจนตราบเท่าช่วงชีวิตของเขา และการที่จะให้ได้ชีวิตที่ไม่ทำร้ายผู้อื่นและตัวเอง สำหรับผมแล้วจะต้องอาศัยชีวิตเข้าสู่พระผู้เป็นเจ้าที่ลึกซึ้งศีลจริยวัตรอันสม่ำเสมอที่เกี่ยวแก่ความเอร็ดอร่อย ความรู้สึก ความอยากรู้อยากเห็น และการรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ตลอดจนการรับรู้เรื่องการเมือง วัฒนธรรมของเราไม่ได้ตระเตรียมอะไรให้เราเลย เพื่อให้เราได้เข้าใจอย่างที่เราเข้าใจอยู่เดี๋ยวนี้ อันเป็นความเข้าใจที่เกิดขึ้นหลังจากการเกิดสงครามเวียดนามถึง ๑๐ ปี ประชาชนที่จะสัมผัสกับชีวิตแบบนี้มีน้อยมาก บางทีเราอาจจะคิดว่า นี่เป็นเวลาสมควรที่จะมีการฟื้นฟูศาสนธรรมกันใหม่ ด้วยการหาอะไรที่ลึกลงไปกว่าวัฒนธรรมที่เป็นอยู่นี้ แต่เราก็หาที่ลงไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ วัฒนธรรมจึงลากศาสนธรรมไปเป็นเพียงวิธีการสำหรับหลบเลี่ยงคำถามแห่งชีวิตอันนำมาซึ่งความทุกข์ ประชาชนไปโบสถ์เพราะต้องการจะลืม และคนอื่น ๆ ที่จะไม่ไปโบสถ์ก็ต้องการจะลืมเช่นกัน และไม่มีหนทางออกอื่นที่จะช่วยได้
นัท ฮันห์ : เขาพยายามจะลืม เพราะว่าเขารู้สึกเหน็ดเหนื่อย เขาไม่มีกำลังใจที่จะเผชิญหน้ากับปัญหายุ่งยากประจำวัน ตอนแรกเขาอาจจะมีกำลังใจ หากแต่ว่าเขาไม่สามารถยืนหยัดการต่อสู้ไว้เป็นเวลานานได้ นี่เป็นเหตุผลที่เขาพยายามจะลืม และจุดสำคัญอยู่ที่ว่า ทำอย่างไรเราจึงจะเข้มแข็งพอที่จะรับปัญหาเหล่านี้ได้โดยไม่หนีมัน ในกรณีนี้ ผมคิดว่า (ตามประสบการณ์ของผม) ปริมาณของการกระทำมิใช่เป็นสิ่งสำคัญ แต่ที่สำคัญคือคุณภาพ เมื่อผมรู้สึกสงบ ระงับ และมีความสุข ผมมีความแน่ใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำจะให้ผลดี แต่บางครั้งปัญหาที่อยู่ต่อหน้าผมมาแรง ผมรู้สึกว่าผมไม่สามารถแก้ปัญหาทั้งหมดในเวลาเดียวกันได้ ตัวอย่างธรรมดา ๆ ก็ได้แก่การอ่านหนังสือพิมพ์ โดยที่อ่านทุก ๆ วัน และอ่านแต่ละเรื่องอย่างละเอียดถี่ถ้วน บางครั้งเราก็หยุดอ่าน… เราพบตัวเองว่าไม่อยู่ในสภาวะที่จะอ่านหนังสือพิมพ์เหล่านี้ได้ บางครั้งก็เป็นเวลานานถึง ๓ เดือน และหลังจากสามเดือนแล้ว เรามาอ่านหนังสือพิมพ์อีกก็พบว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก ดังนั้น จึงน่าจะมีการจัดการบางอย่างเพื่อให้เราได้ทำนุบำรุงตัวเราเองทางด้านจิตใจ (ให้เกิดชีวิต) เพื่อเราจะได้มีประสิทธิภาพ ด้วยมีปัญหาน้อยลง มีประสิทธิภาพมากขึ้น
แดน : ผมคิดว่านี่เป็นการต่อสู้กับวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงได้ยากของเราอย่างหนึ่ง ซึ่งแนวทางปฏิบัติของวัฒนธรรมได้คุกคามโลก ดังที่เราได้เรียนรู้จากสงครามเวียดนาม แต่อีกด้านหนึ่ง ตรงกันข้ามกับวัฒนธรรมของเรา คือคนหนุ่มทั้งหลายที่มีความตั้งใจดีและมีความสามารถอย่างสูง ซึ่งก็มีอยู่หลายแบบผสมผเสกัน ดังที่เราได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของความขัดแย้งอย่างรุนแรงที่ผ่านมาในช่วง ๑๐ ปีนี้ กับการที่จะต้องอดทนต่อการถูกทำให้เสียขวัญ การขึ้นโรงศาล การพิจารณาคดีที่ยาวนาน ที่จำขัง การอยู่ใต้ดิน การพลัดพรากครอบครัวและเพื่อน การที่ต้องอดทนต่อสิ่งเหล่านี้ถือเป็นส่วนประกอบที่ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่เราได้เรียนรู้ว่า ความสามารถในการกระทำสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่หาได้ยาก ราว ๆ ปี ๑๙๖๕-๑๙๖๖ บางคนในพวกเราถูกคนอื่นรังเกียจ อหิงสาเป็นเรื่องโง่เขลา ไม่ทันสมัย การยอมรับการพิจารณาคดีและยอมเข้าคุกเป็นเรื่องเหลวไหล นี่ไม่ใช่ขบวนการจะต้องแก้แค้น ด้วยการใช้ความรุนแรงและอาวุธ แล้วเราก็เห็นว่ามันไป ๆ มา ๆ เพื่อนของเราและนักต่อต้านที่เป็นคาทอลิคโดนรังเกียจเช่นเดียวกันนี้ เราสูญเสียความเลื่อมใสของคนหนึ่งที่มีต่อเราไปมาก แต่แล้วมันก็กลับมา เราอยู่ในวงจรที่สองแล้ว เป็นทศวรรษที่สอง ๑๙๗๐ เป็นปีแห่งความเข้าใจ พวกเขาเห็นขบวนการอื่น ๆ หายไป เหลือแต่พวกเราที่ยังอยู่ที่นั่น ในตอนปลายของเดือนธันวาคม ๑๙๗๒ ในขณะที่กำลังมีการทิ้งระเบิดต่อเนื่องกันถึง ๑๐ วันที่เมืองนิวยอร์ค มีพวกเราเท่านั้นที่ยังยืนหยัดอยู่ พวกเราและคนหนุ่มที่เคยติดคุกกันมาแล้ว และเป็นพวกเดียวที่เหลืออยู่ในการเรียกให้หยุด เราพูดคุยกับประชาชน ตระเตรียมเอกสาร และยังมีความหวัง ยังมีสัญญาณของความหวัง ผมคิดว่าการกระทำครั้งนี้ไม่ใช่การกระทำที่ยิ่งใหญ่อันใด แต่ก็เป็นการกระทำอย่างหนึ่ง ที่จะประกาศว่าคุณไม่ต้องการเลียนแบบศัตรูของคุณ และเมื่อคุณเลียนแบบศัตรู คุณก็เป็นศัตรูด้วย ดังนั้นถ้าคุณคิดจะใช้ความรุนแรงในขบวนการบางอย่าง คุณก็น่าจะเข้าร่วมกับกองทหารฆ่าชาวเวียดนามได้ เพราะว่าทั้งสองสิ่งก็คือสิ่งเดียวกัน เป็นเรื่องยากสำหรับชาวอเมริกาที่จะเข้าใจ
นัท ฮันห์ : และนั่นยังเป็นปัญหาพื้นฐานที่สุด ที่ผมเห็นในการกระทำของคุณและของเพื่อนของคุณ ก็คือขบวนการเพื่อการตื่น และผมคิดว่านั่นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะว่าปัญหาก็คือ การทำให้เกิดความตื่นขึ้น จากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็จะตามมา ถ้าประชาชนไม่ตื่น คุณก็ไม่สามารถทำอะไรเลย ปัญหาไม่ได้อยู่ที่แรงหนึ่งต่อต้านอีกแรงหนึ่ง ว่าแรงไหนจะได้อยู่บนผืนแผ่นดินนี้ แต่ปัญหาคือความตื่น ตรงกันข้ามกับความหลงลืม ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งความชั่วและอาชญากรรมที่มีอยู่มากมาย คนฆ่ากันหรือประกอบอาชญากรรมมิใช่ว่าเขาจะต้องเป็นโหดร้ายโดยสันดาน แต่เป็นเพราะเขาหลงลืม เขาไม่ตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ด้านแม้แต่ภายในตัวเขาเอง ดังนั้นผมจึงสามารถตั้งชื่อขบวนการของคุณได้ว่า เป็นการกระทำเพื่อให้เกิดการตื่นทางมโนวิญญาณ ซึ่งเป็นหัวใจของมนุษย์
แดน : ผมหวังเช่นนั้น ผมคิดหวนไปถึงเรื่องที่คุณได้พูดก่อนหน้านี้ คือเรื่องการตื่นตูมในเหตุการณ์ต่าง ๆ ความกระหายในข่าวใหม่ ๆ ทุก ๆ วัน ประชาชนต้องการจะซึมซาบ ความยุ่งเหยิง การนองเลือดและความรุนแรงที่ไม่น่าเชื่อเหล่านี้ จึงนำมาซึ่งความหลงลืม โดยแกล้งทำเป็นตื่น บุคคลอุดมคติ (ตามแนวความคิดนี้) คือคนรู้เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอ่านหนังสือพิมพ์ทั้งหมด แต่บ่อยครั้งเขาจะเป็นคนที่ตระหนักน้อยที่สุดว่าอะไรเกิดขึ้นกับประชาชนจริง ๆ และตระหนักถึงตนเองน้อยที่สุดด้วย
นัท ฮันห์ : นั่นเป็นความจริง เพราะบางคนอ่านหนังสือพิมพ์ด้วยเหตุที่ว่า เขาไม่สามารถอดทนต่อการต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่งโดยไม่ได้ทำอะไร ดังนั้นเขาจึงไม่อยากรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ หากแต่เพียงต้องการเติมอะไรบางอย่างใส่หัวตัวเองให้เต็มเท่านั้น เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเผชิญกับความว่างเปล่าและความอ้างว้างในตัวของเขาเอง
แดน : ความสัมพันธ์ระหว่างเครื่องจักรกับมโนวิญญาณ ตามท้องเรื่องนี้ ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เครื่องจักรในตะวันตก ถ้าเปรียบเทียบแบบให้เกินจริงอยู่หน่อย ก็เปรียบได้กับตัวที่กินทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นแบบอย่างอันหนึ่งที่มนุษย์ควรปฏิบัติตามและได้มาซึ่งประสิทธิภาพ ผลได้ การปะทะและมิจฉาทิฏฐิของมโนวิญญาณ ในที่นี้ความแตกต่างระหว่างเครื่องจักรกับมโนวิญญาณของมนุษย์ก็จะหายสาบสูญไป ทั้งสองต่างพยายามจะครอบครองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เราได้เรียนรู้จากทศวรรษที่แล้วว่าชั่วระยะเวลาหนึ่ง คนที่มีอำนาจในรัฐบาลจะไม่มีประสบการณ์ทางมโนวิญญาณอื่นใดนอกไปจากที่ผ่านออกมาจากเครื่องจักร นั่นก็คือลูกระเบิดนั้นเอง ทางเดียวที่จะมีอำนาจอยู่ได้ในโลก ก็คือการมีคำสั่งเหนือเครื่องจักร ซึ่งก็คือการมีคำสั่งจะให้อยู่หรือตายก็ได้ และจะไม่มีความแตกต่างระหว่างการทิ้งลูกระเบิดอันเป็นวิธีการทางมโนวิญญาณอันหนึ่งกับตัวมโนวิญญาณเอง ดังนั้นการเดินสวนทางกับสิ่งนั้น หรือการหาหนทางที่จะเดินสวนทางกับสิ่งนั้น หรือที่เราพูดไว้ที่แคตันส์วิลล์ว่า การปฏิเสธต่อสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นทั้งหมด เป็นสิ่งที่ยากและนำมาซึ่งความทุกข์ทรมาน ผมไม่สามารถบรรยายออกมาได้ว่าเครื่องจักรได้ชัยชนะเหนือมโนวิญญาณของเราได้อย่างไร จนกระทั่ง "คำสั่งแห่งความจำเป็น" (Order of Necessity) ประกาศออกมา เราเชื่อว่า "ความรุนแรงไม่ใช่สิ่งจำเป็น" ถ้ามองในทัศนะของอภิปรัชญา ความรุนแรงเป็นแต่สิ่งที่จำเป็นเท่านั้น (ไม่เป็นอย่างอื่น) ความรุนแรงเป็นคำสั่งแห่งความจำเป็นด้วยตัวของมันเอง และการก้าวหลีกจากความจำเป็นไปสู่อิสรภาพ ก็คือการก้าวไปสู่อหิงสา เพราะมันเป็นทางเดียวที่จะไปสู่อิสรภาพ
นัท ฮันห์ : ความรุนแรงทำลายมโนวิญญาณ
แดน : ใช่ แต่นั่นหมายถึงความรู้สึกนึกคิดภายในความรู้สึกนึกคิดของตนเอง เพราะว่าเครื่องจักรอยู่นอกตัวมันเองโดยสิ้นเชิง เครื่องจักรไม่มีมโนวิญญาณอยู่เลยแม้แต่น้อย และทำลายมโนวิญญาณ จนมันเอาชนะได้ บางคนพูดว่าการมีจิตเป็นกุศลเป็นการประพฤติตนให้ถูกต้องต่อโลก แต่นั่นเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะมันยังเป็นการประพฤติตนให้ถูกต้องต่อตนเองอีกด้วย ต้องเป็นทั้งภายในและภายนอกจึงจะเข้าทำนอง
นัท ฮันห์ : เครื่องจักรของความรุนแรงทำลายมโนวิญญาณ เพราะว่ามันก่อให้เกิดความกลัว ก่อให้เกิดความสิ้นหวัง ก่อให้เกิดความรู้สึกและอารมณ์ทุกอย่างที่จะทำร้ายมนุษย์และอหิงสกรณียะ แน่นอนเราจะต้องเป็นปฏิปักษ์ต่อเครื่องจักรของความรุนแรงและด้วยเหตุผลเดียวกัน เราจะต้องเป็นปฏิปักษ์ต่อความคิด และความรู้สึกที่จะใช้เครื่องจักรอันนั้น
แดน : ในเวลาที่เครื่องจักรประกาศชัยชนะเหนือมนุษย์ทั้งหญิงและชายเช่นนี้ ผมคิดว่าการภาวนาจะกลายเป็นรูปแบบของการต่อต้านอย่างหนึ่ง และควรจะนำไปสู่การต่อต้านระดับโลก ถึงขนาดที่บุคคลจะไม่สามารถประกาศว่าเขาสัมผัสกับพระผู้เป็นเจ้าได้อีกต่อไป ถ้าหากเขายังทำตนเป็นกลางกับเครื่องจักรอยู่ และปล่อยให้มนุษย์ต้องล้มตายไป ผมเอาเรื่องนี้ขึ้นก็เพราะว่าเรื่องนี้ก็ยังไม่ชัดอีกด้วย และเนื่องด้วยความสับสนของวัฒนธรรมของเรา คนส่วนใหญ่จึงพากันไปภาวนากันอย่างสิ้นหวัง (แม้ว่าจะไม่รู้ตัวก็ตาม) พวกเขาปฏิบัติสมาธิเพื่อความเป็นกลาง คือการหาอะไรมาป้องกันระหว่างตัวเขากับโลกที่ไม่น่าอยู่ แทนที่เป็นโอกาสที่จะอุทิศตัวให้แก่ประชาชนและความหวัง แทนที่จะหาสิ่งที่แตกต่างออกไปอันเป็นสิ่งใหม่ให้แก่ประชาชนผู้ทุกข์ยาก เรามีตัวยาวายร้ายชื่อ "การภาวนา" ผู้ปฏิบัติอาจเรียกตัวเองว่า ผู้คลั่งไคล้พระเยซูเจ้า สาวกของพระกฤษณะหรือของพระพุทธเจ้า อาจใส่เครื่องนุ่งห่มแตกต่างออกไป อยู่ในถนน ภิกขาจารสวดมนต์ และอาศัยอยู่ในคอมมูน แต่เขาไม่สนใจอะไรเกี่ยวกับสงครามเลย เขาพูดเหมือนกับ บิลลี กราแฮม ว่า "พระเยซูเจ้า โปรดช่วย" นั่นเป็นแต่เพียงการพูด ไม่ได้ลงความเห็นว่าจำเป็นจะต้องทำอะไร ดังนั้นเขาก็กลายมาเป็นทรัพยากรอีกชนิดหนึ่งของวัฒนธรรม หาได้เป็นทรัพยากรที่เป็นปฏิปักษ์ต่อวัฒนธรรมไม่
นัท ฮันห์ : ในเรื่องสมาธินี้ด้วย ผมคิดว่าการได้สัมผัสกับความเป็นจริง ซึ่งเราใช้ชีวิตอยู่ได้กินลึกเข้าไปในจิตใจของเรา และพวกเราหลายคนต้องการการเยียวยา คนเป็นจำนวนมากทั้งตัวผมและเพื่อนของผมหลายคน เราต้องการเวลาสักเล็กน้อย สถานที่ การอยู่โดยลำพังตนเองและสมาธิ เพื่อที่จะเยียวยาบาดแผลที่กินลึกเข้าไปในจิตใจของเรา นั่นไม่ได้หมายความว่า เมื่อผมซึบซาบอยู่กับการเฝ้ามองดูเมฆโดยไม่ได้นึกถึงเวียดนาม แล้วหมายความว่าผมไม่เอาใจใส่เวียดนาม แต่ผมต้องการให้ก้อนเมฆเยียวยาบาดแผลฉกรรจ์นั้นต่างหาก พวกเราหลายคนได้รับบาดแผลมา เราเข้าใจและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในความต้องการที่จะรับการรักษาเยียวยานั้น
แดน : ผมเคยคิดว่าการเขียนบทกวีและอ่านบทกวีในคุกร่วมกันเป็นการต่อต้านอย่างหนึ่ง พวกเขาพยายามทำให้ทุกคนไม่มีทางที่จะรู้สึกว่า สิ่งต่าง ๆ ธรรมชาติและตัวเองดีไปได้เลย แปลกมาก แต่เราหาทางที่จะแสดงให้เห็นความจริงว่า คนเราเจริญพัฒนาขึ้นในคุกได้ ในวันอาทิตย์เราจะชุมนุมกันอ่านบทกวี ที่เราได้เขียนขึ้นหรือได้อ่านพบในตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา คนคุกส่วนมากไม่เข้าใจว่า "ใครจะทำสิ่งนี้ได้อย่างไร" "ทำไมพวกเขาถึงได้โง่นัก" …เพราะว่าทุกคนเศร้าและหม่นหมอง พิไรรำพัน วนเวียนอยู่ในถ้ำแห่งความเศร้าส่วนตัวเล็ก ๆ มากเกินไป และเราอยู่ที่นี่ กำลังอ่านบทกวี เป็นการพูดได้อย่างลึกซึ้งว่า เราไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาเข้าใจ และเราไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขากำลังพยายามทำให้เราเป็น เรากำลังเดินไปในทางของเรา เรามีชุมชนของเรา เรามีบางสิ่งบางอย่างเหลืออยู่ที่จะให้ซึ่งกันและกัน และมีทางตั้งร้อยทางที่จะประกาศให้สิ่งนี้เป็นที่รู้กันได้ แต่เมื่อผมออกจากคุกมาแล้ว ผมเห็นว่าสิ่งที่สำคัญก็คือ เราจะต้องรู้ว่าการต่อสู้ยังคงจะต้องมีอยู่ เพราะชีวิตข้างนอกเป็นชีวิตที่เหี่ยวแห้งด้วยเช่นกัน ไม่มีกวีรส หรือการมอบของขวัญอันใดให้แก่ผู้อื่น และสิ่งนี้จะไม่มีวันสิ้นสุด ดังนั้นการมองดูเมฆจึงเป็นการต่อต้านอีกทางหนึ่ง
นัท ฮันห์ : เมื่อเร็ว ๆ นี้ เพื่อนชาวเวียดนามของเราพูดคุยกันถึงเรื่องความตายของ ติช ทัน วัน อธิการของกลุ่มหนุ่มสาวเพื่อบริการสังคมในเวียดนาม ซึ่งถูกฆ่าตายในระหว่างปฏิบัติการ คุณรู้ไหมว่าเพื่อนของผมเขามีความเห็นในเรื่องที่ว่า ติช ทัน วัน ตายแล้วจะเป็นอย่างไรต่างกันออกไป คนหนึ่งก็พูดว่า "ก็เขาได้มีชีวิตอยู่ในโลกนี้เป็นเวลานาน และได้กระทำการอย่างดีที่สุดที่แสดงให้เห็นถึงความห่วงใยของเขาต่อมนุษย์ผู้อื่น ดังนั้นผมจึงหวังว่าเขาจะได้ไปอยู่ในดินแดนของพระพุทธเจ้าและมีดอกไม้" ผมคิดว่านั่นก็เป็นภาพพจน์ที่สวยดี แต่เพื่อนอีกคนหนึ่งไม่เห็นด้วย เขาพูดว่า "ผมไม่คิดว่า ติช ทัน วัน จะมีความสุขอยู่กับการนั่งบนดอกบัวใกล้พระพุทธเจ้า ผมคิดว่าเขาจะกลับมาที่นี่ ดินแดนแห่งนี้ เพื่อที่จะได้ทำงานต่อไป"
ในศาสนาพุทธ เราพูดกันถึงการกลับชาติมาเกิด แต่ข้อคิดเห็นอันนี้เป็นลักษณะกวีนิพนธ์มากกว่าเทววิทยา เพื่อนอีกคนกล่าวว่า ติช ทัน วัน ไม่เป็นแต่เพียงหนึ่ง เขาไม่ใช่หนึ่ง และไม่ใช่จำนวนหลาย ไม่ใช่หนึ่ง หรือสองหรือสาม เขาจะกลับมาสู่ดินแดนแห่งนี้ แต่ไม่ใช่อยู่ในรูปของบุคคลคนหนึ่ง เขาอาจจะกลับมาในร่างของต้นไม้ ซึ่งขึ้นมาท่ามกลางเนื้อดินที่ถูกทำลาย โดยไม่ยี่หระกับพิษอันเกิดจากสารเคมี เขาอาจจะเป็นนก เขาอาจจะปรากฎอยู่ที่นี่ ระหว่างพวกเราในขณะนี้
ดังนี้แหละที่การพูดคุยถึงเรื่องการกลับมาของ ติช ทัน วัน ดำเนินต่อเนื่องไป จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก
ผมเป็นครูของ ติช ทัน วัน เมื่อเขายังอายุน้อย เด็กหนุ่มที่เคยเป็นนักเรียนของผมหลายคนได้สูญเสียชีวิตในสงครามมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อที่ผมยังอยู่ที่นี่มีชีวิตอยู่ พวกเขาตายในขณะที่มีอายุ ๒๐,๒๕,๒๘ และผมอายุได้ ๔๖ ผมยังอยู่ที่นี่มีชีวิตอยู่ดูคล้ายกับว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหลสำหรับผม
วันหนึ่งผมนั่งรถใต้ดินไปทำงานในปารีส ผมเอามือสัมผัสที่นั่งของรถไต้ดินโดยเร็ว เพื่อดูว่ามันเป็นของจริง ผมทำไปโดยไม่รู้ตัว ผมสัมผัสและลูบคลำมัน เพื่อจะให้แน่ใจว่ามันแข็ง และเป็นของจริง และมันก็แข็ง และรู้ว่าเป็นไม้ ใช้ได้ แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจว่ามันเป็นของจริง ผมว่าในขณะนั้นผมไม่มีชีวิตอยู่ เพราะผมไม่ได้รับรู้ความจริง พอตกกลางคืนผมหวนกลับมาคิดเรื่องนี้อีก และจำได้ว่าในตอนเช้า ผมได้ดูรูปจากหนังสือพิมพ์ เฮราลด์ ทริบูน เด็กหนุ่มเวียดนามนอนตายอยู่เคียงข้างกัน เด็กหนุ่มเวียดนามจากทั้งสองค่าย มีอายุราว ๑๕-๑๖ ปี และรูปถ่ายแสดงให้เห็นว่าพวกเขานอนอยู่อย่างสงบเงียบ ใกล้ชิดกันไม่มีการทะเลาะ ไม่มีการต่อสู้ ไม่มีเสียงรบกวน เงียบกริบ นั่นคือสิ่งที่ผมเห็น และถามตัวเองว่า เด็กหนุ่มเหล่านี้เคยเห็นหรือยังว่าชีวิตนั้นเป็นอย่างไร เขามีความสามารถที่จะรู้ความจริงได้หรือไม่ว่าเขาอยู่ที่นั่น ในชีวิตนี้ ความรู้สึกได้ว่ามีชีวิตอยู่หรือไม่ ผมคิดถึงตัวเอง หลายครั้งที่ผมรู้สึกว่าสูญเสียตัวเองไปในชีวิต ผมไม่ได้มีชีวิตอยู่จริง ๆ แต่แล้วผมก็มีโอกาส (ด้วยการนั่งสมาธิ) ที่จะเข้าใจถึงสิ่งเหล่านี้
คนเหล่านี้จะรู้ได้อย่างไรว่า เขาเคยมีชีวิตอยู่ครั้งหนึ่งเมื่ออายุได้ ๑๔ หรือ ๑๕ ปี นั่นชักนำให้ผมลองสัมผัสที่นั่งในรถใต้ดิน
ผมสารภาพว่า ถ้าผมคิดเกี่ยวกับเวียดนามมากเกินไ ป ผมจะตายไป ผมทนไม่ได้ ผมหมายความว่า ผมไม่เข้มแข็งพอที่จะอยู่เผชิญความจริงตลอด ๒๔ ชั่วโมงได้
แดน : นี่คือพวกเรา แม้จะมีระดับต่างกันไป ก่อนที่ผมจะมาปารีส เราเสียเพื่อนไปคนหนึ่งชื่อ แรบบี เฮสเชล ผู้ร่วมด้วยกับเรามาตั้งแต่ต้น เขากำลังจะไปพบผมและฟิลิป เรื่องเกี่ยวกับการเดินทางไปหาสันตปาปาเพื่อถามคำถามเรื่องสงคราม ชั่วโมงหนึ่งก่อนหน้าที่เราจะได้พบกัน ลูกสาวของเขาโทรศัพท์มาและบอกว่า พวกเขาพึ่งพบว่าพ่อของเขาถึงแก่กรรมเสียแล้ว ผมรีบไปที่นั่นและพบว่าเขานอนหลับอยู่ที่นั่นด้วยอาการสงบ ผมคิดว่าการตายของเขาเป็นการตายที่สูงส่ง เพราะว่าความหมายทางจิตใจของการตายของเขาก็คือ การตายของนักรบแห่งสันติสุข ไม่ใช่การตายของนักรบแห่งสงคราม และเพราะเขาตายเพราะความทุกข์ทรมานทางใจ เขาตายเพราะความเศร้าโศกอย่างใหญ่หลวง ซึ่งผมคิดว่าก็จะมีแต่เฉพาะชาวยิวที่เคร่งศาสนาเท่านั้นที่จะทำเช่นนั้นได้ จะต้องเป็นคนที่สวดและมีความเชื่ออย่างลึกซึ้ง เมื่อผมออกจากคุกมาตอนนั้น เราได้มีการแลกเปลี่ยนศรัทธาในสันติสุขเป็นพิเศษ งานครั้งสุดท้ายของเราคือการต้อนรับการออกจากคุกของฟิลิป เขาเดินทางเป็นระยะทางไกล แม้ว่าเขาจะป่วยมาก ผมคิดว่าคงจะมีคนน้อยคนในประเทศนี้ ที่จะมีอภิสิทธิ์ด้วยการตายในฐานะผู้ทำงานเพื่อสันติสุข มีวิธีตายที่ร้ายกว่าการตายแบบของเขาเป็นอันมาก เพราะผมคิดว่า เขาคงเป็นคนหนึ่งที่รู้ว่า (ดังที่คุณพูดว่า) การมีชีวิตอยู่คืออะไร เป็นเรื่องกลับกันที่แปลกมาก ผมคิดว่า เขารู้ดีว่าการมีชีวิตอยู่คืออะไร ด้วยการตายของเขา เขาตายด้วยความรู้สึกแห่งชีวิต และนั่นเป็นการต่อต้านด้วย
นัท ฮันห์ : สิ่งหนึ่งที่ผมคิดอยู่มากก็คือประสิทธิภาพของการกระทำของอหิงสธรรม บางทีน่าจะมีการศึกษาปัญหาที่ว่า การกระทำเพียงหนึ่งเดียว สามารถมามีผลก็ต่อเมื่อเวลาล่วงเลยไปแล้ว ๒,๐๐๐ ปี ได้อย่างไร ในเวลาที่พระเยซูมีชีวิตอยู่ ไม่มีใครสามารถทำนายผลที่จะมีตามมาในศตวรรษษที่ ๒๐ ได้เลย คนหลายคนกล่าวโทษเขา และเข้าใจเขาผิดในเวลาที่เขามีชีวิตอยู่ สิ่งเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับบุคคลที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ นั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงควร (ในเรื่องประสิทธิภาพ) ที่จะมีการมองในแง่มุมต่าง ๆ ด้วยการศึกษา ด้วยการปฏิบัติสมาธิ และด้วยวิธีการอื่น ๆ เพื่อจะแสดงต่อเพื่อนของเราว่า การกระทำของเราจะให้ผลเสมอ สำหรับตัวผม ผมมีความเชื่อว่าจะไม่มีการกระทำอันใดที่จะไม่เกิดผลในอนาคตเลยแม้แต่อันเดียว และเห็นเช่นเดียวกันใน "ชีวิตอหิงสา" (ผมเกือบจะใช้คำว่าขบวนการ แต่คำว่าขบวนการเล็กกว่าชีวิต) หลายครั้งในชีวิตอหิงสาของเรา ผมเสียกำลังใจ ผมต้องสารภาพ แต่เมื่อผลของการกระทำของบุคคลปรากฏชัดขึ้น ผมมีกำลังใจขึ้นมาอีก ผมคิดว่าพวกเราทุกคนมีประสบการณ์เช่นนั้น ด้วยเหตุนี้ ผมจึงเชื่อว่า ถ้าพวกเราแต่ละคนมีความเชื่อเช่นนี้ (ว่าการกระทำอันใดก็ตาม ในทิศทางที่ถูกต้อง และมีรากฐานอยู่บนความเป็นมนุษย์จะต้องเกิดผล) ผมคิดว่าเราจะมีความอดทน ความมั่นคง และการยืนหยัดที่จะเดินทางต่อไปในชีวิตอหิงสา (ขบวนการอหิงสาของเรา)
เป็นการง่ายที่จะพูด แต่ไม่ง่ายเลยที่จะปฏิบัติ และเราต้องการ (ต้องการมากทีเดียว) แรงสนับสนุนจากเพื่อนของเรา แม้แต่จะมีคนเดียวก็ตามในยามยาก เวลาคนหนุ่มเขามาถามเราว่า เรามีความหวังกับสันติวิธีนี้แค่ไหน คุณไม่สามารถบอกกับเขาได้ว่า คุณหมดกำลังใจเสียแล้วโดยสิ้นเชิง นั่นจะเป็นการฆ่าเขา ดังนั้นคุณจะต้องพูดอย่างกับว่าคุณโกหกเขา คุณพูดว่า "อย่าเพิ่งหมดกำลังใจ ผมเองยังไม่หมดกำลังใจเลย" นั่นเป็นการโกหกแน่ ๆ เป็นการโกหกโดยแท้ แต่คุณถูกบีบโดยสถานการณ์ให้พูดเช่นนั้น โดยเฉพาะเมื่อเขามีความผูกพันกับคุณในฐานะเพื่อนสนิทหรือผู้ใหญ่ที่เขาเคารพรัก
แดน : คำถามอันหนึ่งทุกวันนี้ในสหรัฐอเมริกา ในระหว่างคนดี ๆ ด้วยกันก็คือ "เราจะสามารถทำอะไรได้ เราจะไปที่ไหน เราจะเลือกสรรสิ่งต่าง ๆ อย่างไร เราะเคลื่อนที่ไปได้อย่างไร" คำถามที่ไม่ถามกันจะเป็นคำถามเรื่องความกดดัน และการหมดกำลังใจ และบางครั้งคุณไม่สามารถพูดอะไรเลย ด้วยการตอบคำถาม คุณไม่สามารถพูดว่า เราควรทำสิ่งนี้ เราไม่ควรทำสิ่งนั้น นั่นไม่ใช่คำถาม เพราะไม่ช่วยเราให้ไปไหนได้เลย เราได้เคยลองแบบนี้กันแล้ว ผมพบว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่คุณสามารถทำได้ก็คือ การบอกเล่าเรื่องราวของชาวเวียดนามให้ฟัง คนหนึ่งพูดขึ้นว่า "เอาละ ผมไม่รู้ว่าใครจะทำอะไรได้บ้าง ผมมานี่ไม่ได้มาแนะนำวิธีการ แต่ผมอยากจะเสนอว่า ตราบใดที่ชาวเวียดนามยังดำเนินงานต่อไป เราก็จะดำเนินงานต่อไป ถ้าพวกเขาทนทุกข์ทรมาน พวกเราก็จะสามารถทนทุกข์ทรมานด้วยเล็กน้อย (ซึ่งไม่สามารถเทียบกับความทุกข์ทรมานของพวกเขาได้เลย และในวิถีทางเช่นนั้น คุณอาจจะมีทัศนคติที่ดีขึ้นก็ได้) เพื่อประชาชน"
คุณรู้ไหมว่านี่เป็นตัวอย่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยังน้อยอยู่มาก มันเป็นสิ่งที่เราจะต้องต่อสู้ไปเป็นระยะเวลาอันยาวนาน ผมมีความมั่นใจอยู่อย่างหนึ่งว่า เป็นสิ่งสำคัญที่จะให้คนเราได้ผ่านสถานการณ์ที่ร้ายกาจบางประการ เช่นการถูกจำคุกหรือสิ่งอื่นใดก็ได้ (เขาจะได้รู้ว่าสิ่งเหล่านี้เขาสามารถทนได้) และความยุ่งยากเล็กน้อยข้างหน้าเป็นสิ่งที่เขาสามารถทนได้ เราจะต้องแสดงความมั่นคงของจิตใจที่คุณพูดถึงให้เห็น และบางทีอาจจะต้องหักหาญเอากับบางคนโดยพูดว่า "คุณไม่เคยคิดเลยบ้างหรือว่า ความสิ่นหวังของคุณนั้น เป็นสิ่งฟุ่มเฟือยเกินจำเป็น เป็นสิ่งที่กันเราออกจากการปฏิบัติงานจริง ๆ พวกเราบางคนไม่มีเวลาสำหรับมัน และระเบียบวินัยของเราห้ามไว้"
คนมักจะไม่ค่อยพอใจ แต่ผมคิดว่าสำหรับพวกเราแล้ว (นี่ไม่ใช่การพูดให้แก่ชาวเวียดนามเลยแม้แต่น้อย) มันจะเป็นการตามใจตัวเองมากเกินไปที่จะมัวมาพูดแต่ความสิ้นหวัง คนที่ผ่านมามากแล้วจะไม่พูดเช่นนั้น จะมีแต่คนที่พึ่งผ่านมาได้นิดหน่อยเท่านั้นที่จะพูด ตามปรกติแล้วคนที่เคยผ่านอะไรบางสิ่งบางอย่างในสหรัฐอเมริกาแล้ว มักจะไปได้ดีซึ่งไม่ใช่จะพูดว่าประเทศของคุณไม่มีเวลาวิกฤตกาลเลย แต่เป็นการวิเคราะห์เรื่องของคนที่ไม่เคยได้ตระหนักถึงสันติสุขและสภาวะบ้านเมืองที่ปรกติสุข เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เขาคิดว่าการสิ้นสุดของสงครามก็คือการได้มาในสิ่งที่เขาเคยมีอยู่ และความหมายของสงครามก็มีค่าแต่เฉพาะการมาขัดจังหวะต่อความเป็นอยู่ดี และความสะดวกสบายที่เคยได้รับเท่านั้น ไม่ใช่การที่ประชาชนจะต้องทนทุกข์ทรมานและจะต้องตาย แต่เป็นการมาขัดจังหวะชีวิตสุขสบายที่มีอยู่เดิม
บางสิ่งบางอย่างมาขัดจังหวะชีวิตที่สุขสบายของเขา ความสำเร็จของเขา และความสะดวกสบายที่ไม่เคยโดนขัดจังหวะมาก่อน การที่จะช่วยให้พวกเขาได้รู้ถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้น จะต้องใช้เวลานาน เช่นเดียวกับประชาชนนับพันที่ผ่านเราไปในถนนสายที่ ๕ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สำหรับพวกเขาแล้ว นับเป็นการกระทำความยุ่งยากให้แก่พวกเขา ในการที่เราไปยืนอยู่ที่บันไดโบสถ์ของนักบุญแพททริก คาทีดัล แบกป้ายที่เขียนไว้ว่า "มันเป็นอาชญากรรมที่จะนิ่งเงียบในเวลาเช่นนี้" สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มาขัดจังหวะการไปหาซื้อของ ความฝันของเขา มายาภาพเกี่ยวกับชีวิตของเขา ความสุขสบายของพวกเขา และเรื่องอื่น ๆ คุณสามารถเห็นได้ว่า ความโกรธของเขาไม่ได้อยู่ที่สงคราม แต่อยู่ที่พวกเราที่ยืนอยู่ที่นั่น
แต่เราคิดว่าการยืนอยู่ที่นั่นเป็นการกระทำอันเล็กน้อย นี่เป็นสิ่งที่คุณทำ คุณทำบางสิ่งบางอย่างแล้วรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนในการกระทำนั้น ๆ
นัท ฮันห์ : งานในการปลุกประชาชนให้ตื่นนี้ เป็นงานที่สำคัญ เพราะความสิ้นหวังเป็นอกุศล บางครั้งก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ใกล้ความสิ้นหวังมาก แต่ยังไม่ถึงกับสิ้นหวัง เมื่อแรกที่เราได้ยินข่าวเรื่องการทิ้งระเบิดที่เวียดนาม การทำลายฮานอย และโรงพยาบาล บาช มาย และเรื่องในทำนองนี้ ซึ่งทำให้เราหมดกำลังใจ หลังจากมีความหวังไว้มาก แล้วมากลับกลายในทันทีทันใด คุณเกิดความรู้สึกใกล้กับความสิ้นหวังมาก ความรู้สึกเช่นนั้นทำให้คุณร้องให้ และต้องการจะหันไปว่าอเมริกาด้วยความโกรธว่า "คุณเป็นคนป่าเถื่อน" แต่เป็นสิ่งดีละหรือ เป็นสิ่งดีละหรือที่จะพูดในเวลาโกรธ สิ่งนี้ไม่ใช่การกระทำที่จะก่อให้เกิดประโยชน์อันใดเลย แต่สิ่งที่เหมาะสมที่ที่สุดก็คือ การเขียนไปถึงเพื่อนที่นั่น บอกว่า "เรากำลังเป็นทุกข์ เราร้องไห้อยู่" นั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เรารู้สึกว่าเราสามารถทำได้ในสถานการณ์เช่นนั้น สำคัญกว่าการร่วมกันลงนามประณามการทิ้งระเบิดด้วยซ้ำไป แต่สิ่งนี้ก็ควรกระทำด้วยเหมือนกัน แม้จะได้กระทำในสิ่งที่คล้าย ๆ กันนี้มาหลายครั้งหลายหนแล้วก็ตาม แต่อย่างที่คุณพูด เราไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองหมดกำลังใจได้ การหมดกำลังใจเป็นการสูญเสียอย่างยิ่งในชีวิตของเราและในขบวนการของเรา ดังนั้นเราจึงยืนหยัดที่จะเป็นปฏิปักษ์กับมันและกระทำการของเราต่อไปนี้เป็นหนทางเดียวเท่านั้น
จิม : แดนได้ชี้ให้เห็นว่า คนอเมริกันหลายคนในขบวนการได้ประสบกับความรู้สึกใกล้ความสิ้นหวัง และบางครั้งสิ่งที่ช่วยให้เราได้พ้นจากความสิ้นหวัง ก็คือการนึกถึงสภาพของประชาชนชาวเวียดนาม ตัวผมเองหลายครั้งที่นึกทบทวนประสบการณ์และความสัมพันธ์ที่ผมมีกับคุณ ผมได้รับความหวังจากความพยายามของชาวเวียดนาม ในความหมายของความพยายามของชาวเวียดนามทั้งมวล แต่คุณล่ะคุณได้ความหวังมาจากไหน?
นัท ฮันห์ : ก่อนที่ผมจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนั้น ผมจะพูดบางสิ่งบางอย่างอันเกี่ยวกับเพื่อนร่วมประเทศชาวเวียดนามเหนือเสียก่อน พวกเขาพูดอยู่เสมอว่า เขาพร้อมที่จะต่อสู้ต่อไป แต่แน่นอนเขาย่อมรู้สึกเหมือนพวกเรา เขาต้องทนทุกข์ทรมานมาก เขาเป็นมนุษย์ เขาปรารถนาให้สงครามยุติโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เช่นเดียวกับเรา แต่ฐานะของเขา เขาจะต้องพูดเหมือนอย่างที่เขาเคยพูดมา ดังนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะแลเห็นความเป็นมนุษย์ในตัวเขา (มนุษย์สมบูรณ์แบบเช่นเดียวกับเรา)
การที่ผมบอกเด็กหนุ่มว่าผมไม่หมดกำลังใจก็เป็นปัญหาเดียวกัน แน่นอนเรามีความหวัง เรามีความหวังตลอดเวลา เพราะว่าขณะใดที่คุณสูญเสียความหวังไปจนหมดสิ้น คุณก็ตาย เป็นเรื่องธรรมดามาก คุณตายไป ตายไปเดี๋ยวนั้น คุณอาจฆ่าตัวเองหรือไม่ฆ่าตัวเอง แต่คุณตายไปเดี๋ยวนั้น นี่ก็สิบปีมาแล้วที่ผมมีความหวังมาตลอดเวลาว่าสงครามจะยุติภายในสองสามเดือนข้างหน้า ผมไม่เคยคิดเลยว่าสงครามจะยืดเยื้อต่อไปอีกเกิน ๖ เดือน เพราะว่าความคิดเช่นนั้นจะฆ่าผม ในสถานการณ์ที่ทุกข์ทรมานเช่นนั้น คุณอาจจะได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับการหยุดยิง และการเจรจาตกลงที่เป็นไปได้ และคุณก็เชื่อมั่นด้วยแรงและกำลังทั้งหมดที่คุณมีอยู่ คุณพร้อมที่จะเชื่อข่าวลือที่ไร้สาระที่สุดเกี่ยวกับสันติภาพ
ผมจำการสนทนาครั้งหนึ่งที่ว่า บางทีอาจจะไม่มีความหวัง มันเป็นมายา บางทีเรากำลังยึดมายาอยู่เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ได้ บางทีเราควรจะถกเถียงกันว่า มีธรรมชาติที่แตกต่างกันระหว่างความหวังกับมายาอยู่ไหม ? เราปรารถนาสันติภาพ เราอยู่ในมายาเช่นนั้นหรือ ? และคนเหล่านั้นที่ทำสงคราม บางทีเขาอาจจะอยู่ในมายาด้วยเหมือนกัน ไม่เช่นนั้นแล้ว เขาจะให้สงครามเช่นนั้นแก่เราได้อย่างไร เขาคงต้องคิดว่าเขากำลังทำความดีบางอย่างอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องการ และความเชื่อของพวกเขาก็เหนียวแน่นมาก แม้เราจะตะเบ็งเสียงมาเป็นเวลา ๑๐ ปีแล้ว ก็ยังไม่พอ เขาไม่สามารถที่จะฟัง ที่จะเข้าใจ ดังนั้นปัญหาเรื่องมายาจงเป็นปัญหาของเราอีกอย่างหนึ่ง
แดน : บางทีอาจจะไม่ต้องถึงขั้นที่จะต้องลากเส้นแบ่งระหว่างความหวังและมายาออกจากกันให้ชัดเจนก็ได้ บางทีเราต้องการแบ่งอย่างกว้าง ๆ เท่านั้น สำหรับมายาแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถนำให้คนอุทิศตนอย่างกล้าหาญให้แก่ประชาชนในระยะเวลาอันยาวนานได้เลย ในขณะที่การคบคนคนหนึ่งที่มีความหวังในชีวิต สิ่ง ๆ นี้จะเป็นไปได้ มีคำถามหลายอย่างในจำพวกนี้ แต่ผมไม่อยากแยกแยะให้จะแจ้ง เพราะมันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ผมมีมายาอยู่หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิต มายาที่ไร้สาระ แต่บางทีก็ผสมผเสกับบางสิ่งบางอย่างซึ่งไม่เลวทีเดียวนัก ผมเลยรู้สึกว่า ดีแล้ว ลองดู
ขณะเดียวกัน ผมก็รู้ว่าพวกที่ประกาศตนว่ามีอำนาจเหนือพวกเรา ถูกครอบงำอยู่ด้วยมายาประเภทหนึ่ง ซึ่งก่อให้เกิดความตาย และเป็นความตายอย่างสิ้นเชิง มายาเกี่ยวกับอำนาจ ตัวตน เลือด ความรู้สึกว่าตัวเองอยู่เหนือผู้อื่น เชื้อชาตินิยม และความรุนแรง ส่วนผสมของความชั่วร้ายที่ผลิตเครื่องจักรออกมา แต่นั่นไม่เกี่ยวกับผมและเพื่อนของผม
ให้ผมยกตัวอย่างมายาที่ผมปฏิเสธที่จะเลิก ผมชอบมันมาก กล่าวคือเมื่อผมอยู่ในคุก ผมมีมายาอยู่ (ก่อนที่ผมจะเข้าคุก และมีมากขึ้นเมื่อเข้าไปอยู่ในคุกแล้ว) อย่างหนึ่งว่า นิกายของผม นิกายเยซูอิตกำลังเปลี่ยนไปในทางที่ดีมาก โดยเฉพาะกับคนหนุ่ม ๆ ผมคิดว่าพวกเขามีความตระหนักและมีความรู้สึกอ่อนไหวในเรื่องสงครามมากขึ้น เมื่อผมออกจากคุก ผมพบว่าแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนเลย เปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย และผมพบว่ามีสมาชิกอีกเป็นเรือนร้อยที่ยังไม่เปลี่ยน
อีกเรื่องก็คือ ความแตกต่างระหว่างการอยู่ในครอบครัวกับการอยู่นอกครอบครัว เมื่อคุณอยู่ข้างนอก คุณสามารถตัดสินครอบครัวของคุณอย่างหักหาญ และบางทีก็ถูกต้องแม่นยำดีด้วย ผมไม่ทราบ แต่เมื่อคุณอยู่ในครอบครัว คุณจะรู้สึกต่างกันออกไปมาก คุณคิดว่ามายายังดีกว่าการหย่าร้าง ผมมีความคิดอีกอย่างหนึ่งด้วยว่า คนเรามักจะถูกครอบงำด้วยคำถามที่ว่า เราต้องการอะไรมากเกินไป แท้ที่จริงมีเพียงคำถามที่ว่าคุณจะไปที่ไหนเท่านั้น และก็ไม่มีสถานที่สักกี่แห่งนัก ที่จะให้เข้ากับประเพณีและภูมิหลังของตนเองได้
นัท ฮันห์ : ผมเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี อาจจะเป็นเพราะมีประสบการณ์เช่นเดียวกัน ถ้าคุณตัดตัวเองออกจากบางสิ่งบางอย่าง เช่น ประเพณีหรือชุมชน ความหวังในสิ่งต่าง ๆ ก็จะสูญสิ้นไปในทันทีทันใด ดังนั้นมันจึงไม่เป็นปัญหาของคำแต่อย่างใด แต่มันก็เป็นปัญหาของชีวิต และปัญหาที่จะอยู่ได้ทั้งข้างในข้างนอกพร้อม ๆ กัน เป็นความคิดที่วิเศษมาก อ้อ ไม่ใช่เป็นความคิด หากเป็นการดำเนินชีวิตไปในหนทางที่จะคงความเป็นตนเองไว้ และยังสามารถเชื่อมความเป็นตนเองส่วนนี้เข้ากับความเป็นตนเองส่วนอื่น
แดน : นี่เป็นรูปแบบชีวิตส่วนใหญ่ของเมอตันเลยทีเดียว ข้างใน ข้างนอก เป็นผลได้ที่มั่งคั่งสำหรับเขาและผู้อื่น เขาเคยพูดว่า เขาจะไม่เป็นบาทหลวงอีกเป็นอันขาด แต่บัดนี้เขาก็ได้เป็นบาทหลวงอยู่แล้ว เขายังคงเป็นบาทหลวงต่อไปแน่นอน
จิม : เป็นการเล่นซ่อนหากับประเพณี
นัท ฮันห์ : อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นบาทหลวงหรือไม่เป็นบาทหลวง นั่นไม่ใช่ปัญหา ปัญหาอยู่ที่มรรควิธีที่คุณเป็นบาทหลวง หรือมรรควิธีที่คุณไม่เป็นบาทหลวง ผมคิดว่าถ้าเรารับเหตุการณ์ด้วยวิธีเช่นนั้น เราสามารถควบคุมสถานการณ์ได้
ในเมืองจีนมีเรื่องเล่าว่า มีชายคนหนึ่งเสียม้าไป เขาเศร้าโศกและร่ำไห้ แต่สองสามวันต่อมา ม้าของเขากลับมาด้วยพร้อมม้าอีกตัวหนึ่ง ชายคนนี้เลยมีความสุขมาก การสูญเสียของเขากลายเป็นโชคดี แต่วันต่อมา ลูกชายของเขาลองม้าตัวใหม่ ตกม้าขาหักไปข้างหนึ่ง ทีนี้ก็ไม่ใช่โชคดีแล้ว แต่เป็นโชคร้าย ดังนั้นเขาจึงปล่อยม้าอีกตัวหนึ่งไป แล้วพาลูกชายไปโรงพยาบาล และพอใจกับสิ่งที่เขามีอยู่ ดังนั้นเขาจึงพูดกันว่า ถ้าท่านต้อนรับเหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วยจิตใจที่สงบ ท่านจะได้รับประโยชน์จากเหตุการณ์ทุกเหตุการณ์อันนำมาซึ่งความสุข นั่นไม่ใช่ผม แต่เป็นชาวจีน (เสียงหัวร่อ).